[Update] เคมีอินทรีย์-Flip eBook Pages 1 – 50 | ไซโค ล เฮ ก เซน – Australia.xemloibaihat

ไซโค ล เฮ ก เซน: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 11 เคมอี ินทรีย์

แบบฝึกหดั หน้า 8

1. จงเขียนสูตรโครงสรา้ งลิวอิส แบบย่อ และแบบเส้นและมมุ ของสารประกอบตอ่ ไปน้ี

สตู รโครงสร้างลิวอสิ สตู รโครงสร้างแบบยอ่ , เสน้ และมมุ

1.

HHHHH (CH3)2CHCH2CH=CH2

HCCCCCH

HH

HCH

H CH3 CH2O CH2 CH3

2.

HH HH

HCCOCCH O
(CH3)3C(CH2)4CH3
HH HH

3.

H

HCH

H HHHHH

HCCCCCCCH

H HHHHH

HCH

H CH3(CH2)3NH(CH2)2CH=CH2

4.

HHHHHHHHH

HCCCCNCCCCH N

HHHH HH (CH3)2CH CH2CO CH2CH(CH3)2
H
5. O

H

HCH HCH

H HOH H

HCCCCCCCH

HHH HHH

สตู รโครงสร้างลวิ อสิ สตู รโครงสรา้ งแบบยอ่ , เสน้ และมมุ

6. CH3 CH2C(CH3)2CH(CH3) CH2CH=CH2

HH CH(CH3)2

HCHHCH O
C
H HHH O

HCC CCCCH H3C
COOH
H HH
O
HCH OH
CH2CH3
HCH OH
OH
H

7. H
C
H C H H
C H H
C C C H
H H
H C
H
H

8. H H H H
C C C C
H O H
C C C C C

CC CC
H HH H

9.

HH H
H CCCCH

CCO
HCC

H OH

10. H HH
CC C
H H H H
C C
H CC HH H
HO

2. จงเขยี นสตู รโครงสรา้ งแบบผสม และแบบเสน้ และมุม จากสตู รโครงสร้างอยา่ งย่อต่อไปนี้

แบบย่อ แบบผสม แบบเส้นและมุม
1.(CH3)3C(CH2)3 CH3 O
2.(CH3)4C CH3
CH3-C-CH2-CH2-CH2-CH3
3.CH3(CH2)2COCH2CH3
CH3
CH3
CH3 – C – CH3
CH3

O
CH3-CH2-CH2-C-CH2-CH3

4.(CH3)3C CH2CC(CH2)2 CH3 CH3 O
5. COOCH2C(CH3)3 CH3-C-CH2-CC-CH2-CH2-CH3 O
6.CH3CH2C(CH3)2 CH2CONH2
CH3 O
CH2 CH2 O CH3 NH2
CH2 CH-C-O-CH2-C-CH3

CH3

CH3 O
CH3-CH2-C-CH2-C-NH2

CH3

7. OH OH
CH3CH=C(CH2CH3)CH(OH)CH2Br Br
CH3 –CH=C-CH-CH2Br
CH2- CH3

8. HC HC C OH OH
OH HC CH C COOH OH
COOH
O

แบบยอ่ แบบผสม แบบเส้นและมุม
9.
HH2C2C O CH CH2 CH3 O
O CH2CH3 CH2
HC CH2CH COO-CH2-CH3 O
10. HC HC2 CH2 O
COOCH2CH3

แบบฝกึ หดั หน้า 20
1. จงเขียนไอโซเมอรท์ งั้ หมดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทม่ี คี าร์บอน 6 อะตอม เกาะกนั ด้วย
พันธะเดี่ยวทงั้ หมด

1.1 โซ่ตรง มี 1 ไอโซเมอร์

1.2 โซ่กงิ่ มี 4 ไอโซเมอร์

1.3 โซป่ ดิ (แบบวง) มี 12 ไอโซเมอร์

1.4 สตู รโครงสรา้ งในข้อ 1.1 1.2 และ 1.3 เปน็ ไอโซเมอรก์ นั ทง้ั หมดหรอื ไม่
ตอบ ไมท่ ัง้ หมด 1.1 และ 1.2 เป็นไอโซเมอร์กัน เพราะมีสตู รโมเลกลุ เหมอื นกัน คอื C6H14
สว่ น 1.3 ไม่เปน็ ไอโซเมอรก์ ับ 1.1 และ 1.2 เพราะมีสูตรโมเลกุลตา่ งกัน คอื C6H12
2. จงเขียนไอโซเมอรท์ ั้งหมดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่มี ีคารบ์ อน 6 อะตอม เกาะกนั ดว้ ย
พันธะคู่ 1 ตาแหนง่ และมีโครงสร้างเป็นโซเ่ ปิด

2.1 โซ่ตรง มี 3 ไอโซเมอร์

2.2 โซก่ ิ่ง มี 10 ไอโซเมอร์

รวมทัง้ หมด 13 ไอโซเมอร์

3. สารคูใ่ ดเปน็ ไอโซเมอรก์ ัน ใส่เคร่ืองหมาย หนา้ ข้อท่ีเปน็ ไอโซเมอร์ เคร่ืองหมาย  หนา้ ข้อ

ทไี่ มเ่ ป็นไอโซเมอร์

 1. CH3 -C  C-C=C=CH2 , -CH3
CH3
, CH3 -CH2-CH-CH3
 2. CH3 -CH2-CH- CH2-CH3 CH2-CH3
CH3

 3. -CH2- , -CH2-CH3

 4. , CH3 CH2CH=C CH2 CH3
 5. CH3 O CH3 CH3

, CH3 CH2 COOH

 6. ,
 7. CH3 CH=CH(CH2)2C(CH3)3 , (CH3)3C(CH2)2CH=CH CH3

 8. CH3 CH2 CO(CH2)2 CH3 O
 9. CH3(CH2)3CHO
 10. CH3COOH ,
, (CH3 CH2)2CO
CH3 CH2 , HCOO CH3
CH CH3
CH3 CH2 CH CH2 CH3
 11. CH3 CH2
, CH3
 12. CH3 CH=CH CH3
CH2=CH
CH3 CH3
, CH2 CH3
 13. CH3 CH CH2 CH2
CH3 CH2 CH2 CH3
 14. CH3 CH2 CH = CH CH2 CH3
, CH2 CH2
 15. (CH3)3N
, CH3(CH2)3CH = CH2

, CH3NH CH2 CH3



แบบฝึกหัด หนา้ 27
1. ใหร้ ะบุวา่ สารประกอบต่อไปนี้เป็นสารประกอบประเภทใด มีหมูฟ่ งั กช์ นั ช่อื อะไร

สูตรโครงสร้าง ประเภทสารประกอบ หมู่ฟงั กช์ ัน
CH3CH=C(CH3)2 แอลคีน พนั ธะคู่
CH3CH2CHNH2 เอมนี อะมิโน
อเี ทอร์ ออกซี
CH3
กรดคาร์บอกซลิ กิ คาร์บอกซิล
O CH3
คโี ตน คาร์บอนิล
COOH กรดคารบ์ อกซิลิก คารบ์ อกซลิ

CH3
CH3CH2COCH3

O

OH

CH3CH2CH2CH(CH2)2CH3 แอลกอฮอล์ ไฮดรอกซลิ
OH
O เอสเทอร์ แอลคอกซีคารบ์ อนิล
เอไมด์ เอไมด์
CH3 -CH2-C-O-CH3

CH3 CH2CONH2

แอลไคน์ พนั ธะสาม



แบบฝึกหัด หน้า 35

1. จงเขียนสมการแสดงการเผาไหม้อย่างสมบรู ณ์ของสารตอ่ ไปน้ี

1.1 2C6H14 + 19O2 12CO2 + 14H2O
1.2 C3H8 + 5O2 3CO2 + 4H2O
1.3 C3H4 + 4O2 3CO2 + 2H2O
1.4 2C6H6 + 15O2 12CO2 + 6H2O
1.5 2 C5H10 + 15O2 10CO2 + 10 H2O

2. จากขอ้ 1 ถา้ ใช้สารดงั กล่าวอย่างละ 0.5 โมล จะตอ้ งใช้ O2 กี่โมล จึงจะเกดิ ปฏิกิริยาเผาไหม้
อย่างสมบรู ณ์

2.1 C6H14 ใช้ O2 4.75 โมล
2.2 C3H8 ใช้ O2 2.50 โมล
2.3 C3H4 ใช้ O2 2.00 โมล
2.4 C6H6 ใช้ O2 3.75 โมล
2.5 C5H10 ใช้ O2 3.75 โมล
3. จากสูตรโครงสร้างตอ่ ไปนี้ จงเรยี งลาดับปริมาณของเขม่าที่เกดิ ขนึ้ จากมากไปหาน้อย เม่ือนาไป

เผาในสภาวะปกติ

ก. CH3-CH=CH-CH2-CH3 ข. CH3-C C-CH2-CH3
ค.

ตอบ ค > ข > ก

4. จงทานายว่าสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนจานวน 1 โมล แตล่ ะคตู่ ่อไปน้ีชนิดใดเผาไหมแ้ ลว้ ให้

เขม่ามากกว่ากนั

ก. C3H8 กับ C3H6 ตอบ C3H6

ข. C6H5- CH3 กบั C6H14 ตอบ C6H5- CH3

ค. C4H10 กบั C5H10 ตอบ C5H10

ง. C6H6 กบั C6H10 ตอบ C6H6

5. กาหนดตารางแสดงสมบตั ิของสาร A B C และ D ดังต่อไปนี้

สาร สมบตั ิ

การละลายนา้ การเผาไหม้

A ละลาย ไม่หลอมเหลว ไมต่ ิดไฟ

B ไม่ละลาย ตดิ ไฟ มีเขม่า

C ละลาย หลอมเหลว ไมต่ ิดไฟ

D ไม่ละลาย ตดิ ไฟ ไม่มีควันและเขม่า

ก. สารชนิดใดเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน เพราะเหตุใด

ตอบ สาร B และ D เพราะไม่ละลายนา้ และสามารถติดไฟได้

ข. สารชนิดใดทาปฏกิ ิรยิ ากับสารละลายโบรมีนในทสี่ ว่าง และสารละลายโพแทสเซียม

เปอร์มงั กาเนตได้

ตอบ สาร B


แบบฝึกหดั หน้า 43

1. ตารางแสดงสมบตั บิ างประการของแอลเคนชนิดโซ่ตรง

จานวนอะตอม แอลเคน จดุ หลอมเหลว จดุ เดือด

คารบ์ อนในโมเลกลุ ช่ือ สูตรโครงสร้าง (๐C) ( ๐C)

1 มีเทน(methane) CH4 -182.0 -164.0

2 อเี ทน(ethane) C2H6 -183.3 -88.6

3 โพรเพน(peopane) C3H8 -189.7 -42.1

4 บวิ เทน(butane) C4H10 -138.4 -0.5

5 เพนเทน(pentane) C5H12 -130.0 36.1

6 เฮกเซน(hexane) C6H14 -95.0 69.0

7 เฮปเทน(heptane) C7H16 -90.6 98.4

8 ออกเทน(octane) C8H18 -56.8 125.7

ก. จุดเดือดของแอลเคนมีความสมั พันธ์กบั จานวนอะตอมของคารบ์ อนหรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ สัมพันธก์ นั คอื จานวนอะตอมคาร์บอนเพม่ิ ขนึ้ จดุ เดอื ดสูงข้ึน

ข. ทอี่ ณุ หภมู ิห้องแอลเคนชนิดใดมสี ถานะเปน็ แก๊ส และชนิดใดมสี ถานะเป็นของเหลว

ตอบ แอลเคนที่เป็นแก๊ส ได้แก่ มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน แอลเคนท่ีเป็นของเหลว ได้แก่

เพนเทน เฮกเซน เฮปเทน ออกเทน

ค. จงเขียนกราฟแสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างจดุ เดอื ดกบั จานวนอะตอมของคาร์บอนใน
แอลเคน

กราฟแสดงความสมั พันธ์ระหว่างจดุ ดอื ด
กบั จานวนอะตอมของคารบ์ อนในแอลแคน

จุดเดือด 150 1 2 3 45 6 7 8 จดุ เดอื ด (องศา
100 จานวนอะตอมของคาร์บอน เซลเซียส)

50
0

-50
-100
-150
-200

ง. ท่อี ณุ หภูมิ 15 ๐ C แอลเคนชนดิ ใดมสี ถานะเป็นแกส๊
ตอบ มเี ทน อเี ทน โพรเพน และ บิวเทน

จ. แก๊สหุงต้มที่ใช้ตามบ้านเรือน จะเก็บไว้ในถังโลหะหนาในสภาพเป็นของเหลว
นกั เรยี นคิดว่าวธิ ีทาให้แกส๊ หงุ ตม้ เป็นของเหลวทาได้อย่างไร
ตอบ ทาได้โดยลดอุณหภูมิและเพิ่มความดัน กระบวนการท่ีใช้กันท่ัวไปจะใช้การเพ่ิมความดัน
เพยี งอย่างเดียว แลว้ เก็บไวใ้ นถังโลหะทม่ี ผี นงั หนา
2. จงเขียนสูตรโมเลกุลของแอลเคน ไซโคลแอลเคน และหมู่แอลคิลที่มีจานวนอะตอมของ
คาร์บอนดงั ตอ่ ไปน้ี

จานวน C แอลเคน ไซโคลแอลเคน หม่แู อลคลิ
8
11 C8H18 C8H16 C8H17
16 C11H24 C11H22 C11H23
19 C16H34 C16H32 C16H33
C19H40 C19H38 C19H39

3. จงเขียนช่ือแอลเคนและไซโคลแอลเคนท่ีมสี ตู รโครงสรา้ ง ต่อไปนี้

สูตรโครงสร้าง ชือ่
2,3-ไดเมทลิ เฮกเซน
1. CH3 – CH2 – CH2 – CH – CH – CH3 (2,3-dimethylhexane)
CH3 CH3

CH3 3-เอทลิ -2,2-ไดเมทิลเฮกเซน
2. CH – CH – C – CH3 (3-ethyl-2,2-dimethylhexane)

CH2 CH2 CH3 2-เมทิลเฮปเทน
CH3 CH3 (2-methylheptane)

3. CH3- (CH2)4- CH – CH3
CH3

4. CH3- CH2- CH2- CH – CH3 3-เมทิลเฮกเซน
CH2- CH3 (3-methylhexane)

สูตรโครงสรา้ ง ช่อื

5. CH3 2,2-ไดเมทลิ บวิ เทน
CH3- C – CH2- CH3 (2,2-dimethylbutane)
CH3
3,4,4-ไตรเมทลิ เฮปเทน
6. CH3 (3,4,4-trimethylheptane)
CH2 CH3
CH2- C – CH – CH3 4-เมทิลโนเนน
CH3 CH2- CH3 (4-methylnonane)
4-เอทิล-3-เมทิลเฮปเทน
7. CH3- (CH2)2- CH – (CH2)4- CH3 (4-ethyl-3-methylheptane)
CH3
1-เอทลิ -2-เมทลิ ไซโคลเฮกเซน
8. CH3- CH2- CH – CH – CH2- CH3 (1-ethyl-2-methylcyclohexane)
CH3 CH2- CH2- CH3
CH3

9. CH2CH3

CH3 เมทิลไซโคลเพนเทน
10. (methylcyclopentane)

11. CH3 3-เอทิล-2-เมทิลเพนเทน
CH3-CH-CH-CH2-CH3 (3-ethyl-2-methylpentane)
CH2CH3
2,3,4-ไตรเมทลิ ออกเทน
12. (2,3,4-trimethyloctane)

13. ไซโคลออกเทน
(cyclooctane)

14.
3-เอทลิ -2,2-ไดเมทิลเฮปเทน
(3-ethyl-2,2-dimethylheptane)

4. จงเขียนสตู รโครงสรา้ งอยา่ งยอ่ และสตู รโครงสร้างแบบเสน้ และมุม ของแอลเคนและ
ไซโคลแอลเคนท่มี ชี ื่อต่อไปนี้

ชื่อ แบบย่อ แบบเสน้ และมมุ
1. 2,3-dimethylhexane
2. 3-ethyl-2,3- dimethylhexane (CH3)2CHCHCH2CH2CH3
CH3
3. 3-methylheptane CH3

4. 4,4-diethyl-2,5,5- (CH3)2CHCCH2 CH2 CH3
trimethyloctane CH2CH3

CH3 CH2CH(CH2)3CH3
CH3

CH2CH3
(CH3)2CHCH2CC(CH3)2(CH2)2CH3

CH2 CH3

ชอื่ แบบยอ่ แบบเส้นและมมุ
5. 2,3,4-trimethylpentane (CH3)2CHCHCH(CH3)2

6. 3-ethyl-4,5-dimethyloctane CH3

7. ethylcyclopropane CH3
8. ไซโคลเฮปเทน CH3CH2CHCHCH(CH2)2CH3

H3CH2C CH3

CH2CH3

9. 3-เอทลิ เฮกเซน CH3 CH2CH(CH2)2CH3
CH2CH3
10. 4-เอทิล-2,2-ไดเมทิล CH2CH3
ออกเทน
(CH3)3CCH2CH(CH2)3CH3
11. 1,3-ไดเมทลิ ไซโคลเพนเทน
H3C CH3

12. 2,2,5-ไตรเมทลิ -4-โพรพิล (CH3)3CCH2CCHH2CCCHHH(32CCHH23)3CH3
โนเนน

5. จงเขียนสมการการเผาไหมอ้ ย่างสมบรู ณ์ ของสารประกอบแอลเคนและไซโคลแอลเคนต่อไปน้ี

5.1 มีเทน (methane)

ตอบ CH4 + 2O2 CO2 + 2H2O

5.2 ไซโคลโพรเพน (cyclopropane)

ตอบ C3H6 + 4.5O2 3CO2 + 3H2O
5.3 บวิ เทน (butane)

ตอบ C4H10 + 6.5O2 4CO2 + 5H2O

5.4 ออกเทน (octane) 8CO2 + 9H2O
ตอบ C8H18 + 12.5O2

6. จงเขียนปฏิกิริยาแทนที่ของคลอรีนในที่ที่มีแสงสว่างกับสารประกอบอินทรีย์ต่อไปนี้ และเขียน
สตู รโครงสร้างของไอโซเมอร์ของผลติ ภณั ฑท์ เ่ี กิดจากปฏกิ ริ ิยา

6.1 เพนเทน (pentane)
ตอบ CH3-CH2-CH2-CH2-CH3 + Cl2 แสง CH3-CH2-CH2-CH2-CH2Cl + HCl

ไอโซเมอร์ของผลิตภัณฑม์ ี 3 ไอโซเมอร์ คือ CH3-CH2-CHCl-CH2-CH3
CH2Cl-CH2-CH2-CH2-CH3 CH3-CHCl-CH2-CH2-CH3

6.2 ไซโคลบิวเทน (cyclobutane) Cl

ตอบ + Cl2 แสง + HCl

ไอโซเมอร์ของผลติ ภัณฑ์มี 1 ไอโซเมอร์ คือ

Cl

6.3 2-เมทลิ โพรเพน (2-methylpropane) CH3-CH-CH2Cl + HCl
ตอบ CH3-CH-CH3 + Cl2 แสง CH3

CH3

ไอโซเมอร์ของผลิตภัณฑม์ ี 2 ไอโซเมอร์ คือ

CH3-CCl-CH3 CH3-CH-CH2Cl
CH3 CH3



แบบฝกึ หัด หน้า 58
1. จงเขียนสูตรโมเลกุล และเรียกชอ่ื สารประกอบท่ีมีสตู รโครงสรา้ งต่อไปนี้

ข้อ สูตรโครงสร้าง สูตรโมเลกุล เรยี กชือ่
C8H16
CH3 2,3-ไดเมทลิ -2-เฮกซนี
(2,3-dimethyl-2-hexene)
1 CH3-C=C-CH3
C8H14 4,4-ไดเมทิล-2-เฮกไซน์
CH2-CH2-CH3 (4,4-dimethyl-2-hexyne)
CH3

2 CH3 CH2 C CH3

C

C CH3 C11H20 4-เอทิล-4,6-ไดเมทิล-2-เฮปไทน์
CH2 CH3 (4-ethyl-4,6-dimethyl-2-heptyne)

3 CH3 CH CH2 C C C CH3

CH3 CH3

CH3 C12H24 4-เมทิล-4-โพรพิล-2-ออกทีน
(4-methyl-4-propyl-2-octene)
4 CH2 CH3
CH2 C CH=CH CH3 C10H18 3-เอทิล-3,5-ไดเมทลิ -1-เฮกไซน์
CH2 CH2 CH2 CH3 (3-ethyl-3,5-dimethyl-1-hexyne)
CH3 CH3
C10H20 4-เอทลิ -5-เมทลิ -1-เฮปทนี
5 CH CH2 C CH2 CH3 (4-ethyl-5-methyl-1-heptene)

CH3 C CH C13H24 7-เอทลิ -2,6-ไดเมทิล-4-โนไนน์
(7-ethyl-2,6-dimethyl-4-nonyne)
6

7

8 C12H22 5-เอทิล-4,6,6-ไตรเมทลิ -1-เฮปไทน์
(5-ethyl-4,6,6-trimethyl-1-heptyne)

ข้อ สูตรโครงสรา้ ง สูตรโมเลกุล เรียกชอ่ื
9 C7H12 3-เอทลิ ไซโคลเพนทีน
10 CH2CH3 (3-ethylcyclopentene)
C11H22 4-เอทิล-2,6-ไดเมทิล-2-เฮปทีน
(CH3)2CHCH2CHCH=C(CH3)2 (4-ethyl-2,6-dimethyl-2-heptene)

2. จงเขียนสตู รโครงสร้างและสูตรโมเลกุลของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทมี่ ีช่ือต่อไปน้ี

ข้อ ชื่อสารประกอบ สูตรโมเลกลุ สตู รโครงสรา้ ง

1 3-เอทลิ -2-เมทลิ -2-เพนทีน C8H16
(3-ethyl-2-methyl-2-pentene)

2 4-เอทิล-2,4-ไดเมทลิ -1-เฮกซีน C10H20
(4-ethyl-2,4-dimethyl-1-hexene)

3 3-เอทิล-4-เมทลิ -1-เฮกไซน์ C9H16
(3-ethyl-4-methyl-1-hexyne)

4 4,5,6-ไตรเมทลิ -2-เฮปไทน์ C10H18
(4,5,6-trimethyl-2-heptyne)

5 5-เอทลิ -4-โพรพลิ -1-เฮปทีน C12H24
(5-ethyl-4-propyl-1-heptene)

6 1,3-ไดเมทลิ ไซโคลเพนทนี C7H12
(1,3-dimethylcyclopentene) C5H8

7 1-เมทลิ ไซโคลบวิ ทีน
(1-methylcyclobutene)

3. สารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่อไปนี้มสี ตู รโครงสรา้ งแบบโซ่เปดิ สูตรโมเลกุลเปน็ ดังน้ี

สาร A BC D E

สตู รโมเลกลุ C4H8 C6H12 C2H2 C5H12 C3H8

3.1 สารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดอ่ิมตวั คือ D , E ชนดิ ไม่อม่ิ ตวั คือ A , B , C

3.2 สารใดควรมีสถานะเปน็ แกส๊ ทอ่ี ุณหภมู หิ ้อง A , C , E

3.3 สารใดเม่ือเผาไหม้ให้เขม่ามากทส่ี ุด C

3.4 เมอื่ ใหส้ าร A ทาปฏิกริ ิยากับ Br2 จะเกิดปฏกิ ิริยาชนิดใด ปฏกิ ิรยิ าการเตมิ

3.5 จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาระหวา่ ง สาร D กบั Br2

C5H12 + Br2 แสง  C5H11Br + HBr

3.6 จงเขยี นสมการแสดงปฏิกิริยาระหว่าง สาร C กับ Cl2

C2H2 + 2Cl2 C2H2 Cl4

3.7 จงเขยี นปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหมท้ ่ีสมบูรณ์ของสาร B

C6H12 + 9O2 6CO2 + 6H2O

3.8 จงเขยี นสูตรโครงสรา้ งที่เปน็ ไปได้ท้ังหมดของสาร A

4. สารประกอบใดต่อไปน้ีเป็นไอโซเมอรก์ นั

1. 2,3-ไดเมทลิ -3-เฮกซีน (2,3-dimethyl-3- hexene)

2. 4-เอทลิ -5- เมทลิ -2-เพนทีน (4-ethyl-5- methyl-2-pentene)

3. 3-เอทลิ -2,4-ไดเมทิล-2-เพนทนี (3-ethyl-2,4-dimethyl-2-pentene)

4. 5-เมทลิ -1-เฮกซนี (5-methyl-1-hexene)

ตอบ 1 , 2

5. A + H2 Pt B

B + I2 C + HI

ถ้า C คือ CH3 CH2 CH2I A ควรมสี ูตรโครงสรา้ งอย่างไร

ตอบ CH3CH=CH2

6. แอลคีนต่อไปนสี้ ามารถเกิดไอโซเมอรเ์ รขาคณิตหรือไม่ แอลคีนใดเกิดให้เขียนสูตรโครงสร้าง
ของ cis- และ trans- ไอโซเมอร์ ถา้ ไมเ่ กดิ ให้ระบุวา่ ไม่เกิด

แอลคนี ซิส-ไอโซเมอร์ ทรานส์-ไอโซเมอร์
1. CH3-CH=CH-CH3
H3C CH3 H CH3
2. CH2=CH-CH3 CC CC
3. CH3CH=C(CH3)2
4. CH3CH=C(CH3)CH2CH3 HH H3C H

5. CHCl=CHCH3 ไม่เกิด ไมเ่ กิด
ไมเ่ กิด
ไม่เกดิ

H CH2CH3 H CH3
CC CC

H3C CH3 H3C CH2CH3
Cl CH3 Cl H

C C CC

HH H CH3

8. สารประกอบของคาร์บอนแตล่ ะคู่ต่อไปนี้ ข้อใดเป็นสารชนิดเดยี วกนั หรือเป็นไอโซเมอร์กนั
ถา้ เป็นไอโซเมอร์ให้ระบุวา่ เปน็ ไอโซเมอรโ์ ครงสรา้ งหรือเป็นไอโซเมอรเ์ รขาคณิต

ข้อ สตู รโครงสรา้ ง คาตอบ
ไอโซเมอร์โครงสร้าง
HHHH H H Br H
สารชนิดเดียวกนั
1 HCCCCH HCCCCH

H H Br Br และ H H Br H

H3C CH3 H3C H

2 CC CC

H CH3 และ H3C CH3

H HH

HCH HCCCCH

3 HH H H HH สารชนดิ เดยี วกัน
ไอโซเมอร์โครงสรา้ ง
HCCCCH HCH

HH และ H

H CH3 HH

4 CC CC

H CH2CH3 และ H3C CH2CH3

ข้อ สตู รโครงสร้าง คาตอบ
ไอโซเมอร์เรขาคณติ
H3CH2C H HH

5 CC CC

และH
CH2CH3 H3CH2C CH2CH3



แบบฝกึ หดั หนา้ 68 CH3

1. จงเขียนสตู รโครงสร้างและเรยี กชื่อไอโซเมอร์ของ CH3

ตอบ เขยี นได้ 4 ไอโซเมอร์ คือ

CH3

CH3 CH3
CH3
CH2-CH3

CH3 CH3

1,2-ไดเมทิลเบนซีน 1,3-ไดเมทลิ เบนซีน 1,4-ไดเมทิลเบนซนี เอทิลเบนซนี

(1,2-dimethylbenzene) (1,3-dimethylbenzene) (1,4-dimethylbenzene) (ethylbenzene)

2. จากปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้ต่อไปน้ี 2A + 15 O2 10 CO2 + 10 H2O

A คือสารประกอบประเภทใดบ้าง มีสตู รโครงสร้างและชอื่ เรยี กอย่างไร

ตอบ สาร A มสี ูตรโมเลกลุ เป็น C5H10 สาร A จึงเป็นได้ 2 กรณี คือ

ก. เปน็ แอลคนี ข. เปน็ ไซโคลแอลเคน

เพนทนี (pentene) ไซโคลเพนเทน (cyclopentane)

3. จากการเปล่ียนแปลงต่อไปน้ี X + Br2 / CCl4 แสง Y
ถ้า Y คอื 2,3-ไดโบรโมเฮกเซน (2,3-dibromohexane) สาร X คอื อะไร มสี ตู รโครงสรา้ งอย่างไร

ตอบ X คอื 2-เฮกซีน (2-hexene) มสี ูตรโครงสร้างเป็น CH3-CH=CH- CH2-CH2-CH3
4. ถา้ แกส๊ X 1 โมล ทาปฏกิ ริ ยิ าสมบรู ณ์กับ H2 1 โมล โดยมี Pt เป็นตวั เร่งปฏกิ ิริยา ไดเ้ ป็น
แก๊สโพรพลิ ีน แก๊ส X คอื อะไร ถ้าให้ X ทาปฏกิ ิรยิ ากบั HBr จานวนมากเกินพอ จะไดส้ ารใด

เขยี นสมการประกอบ

ตอบ แกส๊ X คอื โพรไพน์(propyne) เขียนสมการดังนี้

CH  C-CH3 + H2 Pt CH2=CH- CH3
X ทาปฏิกิรยิ ากับ HBr ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ ดงั สมการ

CH  C-CH3 + 2HBr CH3-CBr2-CH3

5. สาร A และ B เป็นไฮโดรคาร์บอนท่มี ีคาร์บอนเทา่ กนั สาร A เม่ือเผาไหม้จะให้เปลวไฟสว่าง

ไม่มีควัน ทาปฏิกิริยากับ Br2 / CCl4 ในท่ีสว่างได้ สาร B เมื่อเผาไหม้จะให้เปลวไฟสว่าง แต่มี
เขม่าเกดิ ขึน้ ดว้ ย ทาปฏิกริ ยิ ากบั Br2 / CCl4 ในท่สี วา่ งได้ สาร A และ B จัดเปน็ สารประเภทใด
ตอบ A เป็นแอลเคน เพราะสาร A เผาไหม้ ไม่มีเขม่า แสดงว่าเป็นการเผาไหม้ท่ีสมบูรณ์ จึงเป็น

ไฮโดรคาร์บอนอ่ิมตัว ส่วนสาร B เนื่องจากเผาไหม้แล้วมีเขม่า จัดเป็นไฮโดรคาร์บอนไม่อ่ิมตัว

และสามารถเกิดปฏกิ ิรยิ ากบั Br2/CCl4 ได้ สาร B จึงอาจเป็นแอลคีนหรือแอลไคน์อย่างใดอย่างหน่ึง
แต่ B ไม่ใช่อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน เพราะอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนไม่เกิดปฏิกิริยากับ

Br2/CCl4
6. จากแผนภาพต่อไปน้ี

H2 Cl2
A B CH3- CH2 –Cl

Pt แสง

ก. A , B คือสารประกอบใด

ตอบ A เป็นแอลคีน สตู ร คือ CH2=CH2

B เป็นแอลเคน สูตรคือ CH3-CH3

ข. จงเขียนสมการแสดงปฏกิ ิรยิ าทเี่ กิดระหวา่ ง A กบั Cl2 และ A กับ HBr

ตอบ CH2=CH2 + Cl2 CH2Cl-CH2Cl

CH2=CH2 + HBr CH3-CH2Br

ค. สาร A , B สารใดที่เผาไหม้ในบรรยากาศปกติ แลว้ ไม่เกิดเขมา่

ตอบ สาร B

7. สารใดตอ่ ไปนี้ไมท่ าปฏกิ ิริยากบั Cl2 ในทมี่ ืด แต่ทาปฏิกิริยาได้เฉพาะเม่อื มแี สงสว่างอยู่ด้วย
เทา่ น้นั

ก. C2H2 ข. C2H4 ค. C2H6
ง. C2H4Cl2 จ. C2 Cl6 ฉ. C2H2Cl2
ตอบ ค และ ง

8. จงเขยี นสตู รโมเลกุลจากสูตรโครงสร้างของสารประกอบอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนตอ่ ไปนี้

สูตรโครงสร้าง สตู รโมเลกลุ สตู รโครงสรา้ ง สูตรโมเลกลุ
C18H12 C11H12
CH3CHC CH

CH3

C9H8 CH2CH3 C8H10

C14H10 C12H10

9. มีของเหลว 3 ชนิด ลกั ษณะเหมือนกนั วางรวมกัน คือ ไซโคลเฮปเทน(cycloheptane) เบนซีน

(benzene) และ เฮปทีน(heptene) นักเรียนจะมีวิธีพิสูจน์อย่างไรว่าของเหลวแต่ละชนิด คือสารใด

อธบิ ายวธิ ีทดสอบและผลอย่างละเอยี ด

ตอบ ทดสอบโดยใชส้ มบัตแิ ละปฏิกริ ยิ าทแ่ี ตกตา่ งกนั ของสารทง้ั สามชนดิ ดงั น้ี

1. ทดสอบการเผาไหม้ นาของเหลวทั้ง 3 ชนิดไปทาปฎิกิริยาเผาไหม้ สังเกตควันและเขม่าที่

เกิดข้ึน ของเหลวใดไม่มีควันและเขม่าเกิดข้ึนสารน้ันคือ ไซโคลเฮปเทน(cycloheptane) ซ่ึงเป็น

ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ส่วนของเหลวอีก 2 ชนิด มีเขม่าเกิดข้ึน ให้เปรียบเทียบปริมาณเขม่า

ของเหลวที่มีเขม่าและควันมากกว่า คือ เบนซีน(benzene) ของเหลวท่ีเขม่าน้อยกว่า คือ เฮปทีน

(heptene) เนื่องจาก เบนซนี (benzene) มีความไม่อิม่ ตัวมากกว่า เฮปทีน(heptene)

2. ทดสอบการเกดิ ปฏิกิรยิ ากบั สารละลายโบรมนี ของเหลวทัง้ 3 ชนิดเกดิ ปฏิกริ ิยาแตกต่างกัน

ของเหลวที่เกิดปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้เฉพาะในท่ีมีแสงเท่านั้น คือ ไซโคลเฮปเทน

(cycloheptane) ของเหลวที่เกิดปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้ทั้งในที่มืดและสว่าง คือ เฮปทีน

(heptene) ส่วนของเหลวท่ีไม่เกิดปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนท้ังในที่มืดและสว่าง คือ เบนซีน

(benzene)

10. จงเตมิ สมการแสดงปฏิกิรยิ าตอ่ ไปนใ้ี หส้ มบูรณ์

1. CH3-CH2-CH2-CH-CH3 + Br2 แสง CH3-CH2-CH2-CH-CH2Br + HBr
CH3 CH3

Cl Cl

2. CH3-CH2-C = CH2 + Cl2 CH3-CH2-C – CH2
CH3 CH3

3. + H2O OH
4. + I2 FeI3 I

+ HI

+ H2 Pt

5.

6. 3CH3CH=CHCH3 +2KMnO4 + 4H2O CH3CH-CHCH3 +2MnO2 + 2KOH
OH OH
7. CH3-CC-CH3 + 2 HCl Cl

8. + HNO3 H2SO4 CH3-CH2-C-CH3
Cl
9. CH3-CH2-CH=C-CH3 + HCl
CH3 NO2 + H2O
Cl
10. CH3-CC-CH2-CH3 + 2I2
CH3-CH2-CH2-C-CH3
11. CH3-CH=CH-CH3 + HBr CH3

12. CH3-CC-CH3 + H2 Pt CH3-CI2-CI2-CH2-CH3

13. + Cl2 แสง CH3-CH2 -CH-CH3
Br

CH3-CH=CH-CH3

Cl + HCl

14. 2 + 15O2 12CO2 + 6H2O

15. + H2 ไม่เกิดปฏิกริ ิยา



แบบฝึกหัด หนา้ 78
1. จงระบวุ ่าสารประกอบชนิดใดต่อไปน้ี เปน็ แอลกอฮอล์ ฟีนอล หรืออีเทอร์

สารประกอบ ประเภทของสาร สารประกอบ ประเภทของสาร
CH3CH2CH2CH-OH แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์
อเี ทอร์ OH อเี ทอร์
CH3
CH3CH2CH2CH-O-CH3 อเี ทอร์ O ฟนี อล

CH3 OH
CH3
OCH3

2. จงเขยี นไอโซเมอรท์ ม่ี ีหมู่ฟังกช์ ันชนดิ เดียวกับสารประกอบอนิ ทรยี ์ท่กี าหนดให้ตอ่ ไปน้ี

สารประกอบอินทรยี ์ ไอโซเมอร์

2.1 CH3-CH2-CH2-OH CH3-CH-CH3
2.2 CH3-CH2-O- CH2- CH3
OH

CH3-O-CH2-CH2-CH3

2.3 CH3 O CH CH3
CH3
CH3-CH2-CH-OH
OH HO-CH2-CH2-CH2 -OH

2.4 CH3-CH-CH2-OH
OH
OH OH
OH
CH3 C CH3
OH

OH
OH

OH OH

3. แอลกอฮอลโ์ ซ่ตรงชนิดหนงึ่ ประกอบด้วยคาร์บอน 7 อะตอม
แอลกอฮอล์ชนิดนีช้ ่ือ เฮปทานอล (heptanol)
สมบัติการละลายนา้ เปรียบเทียบกับบวิ ทานอล(butanol) ละลายไดน้ อ้ ยกวา่ บิวทานอล
จุดเดือด เปรียบเทียบกับบวิ ทานอล (butanol) จุดเดือดสงู กวา่ บวิ ทานอล
4. เพราะเหตุใดเอทานอล(ethnol) (CH3CH2OH) จึงมสี ถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิหอ้ ง
สว่ นไดเมทิลอเี ทอร์(dimethylether) (CH3OCH3) ซึง่ มีมวลโมเลกุลเท่ากนั จงึ มสี ถานะเป็นแกส๊
ตอบ เพราะแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลของเอทานอลเป็นพันธะไฮโดรเจนซึ่งเป็นพันธะที่
แขง็ แรง ในขณะท่ไี ดเมทิลอเี ทอร์ แรงยดึ เหนยี่ วระหว่างโมเลกุลเป็นแรงแวนเดอร์วาลส์ซึ่งเป็นแรง
ทอ่ี อ่ น จึงทาให้เอทานอลเป็นของเหลวและไดเมทลิ อเี ทอรเ์ ปน็ แกส๊ ท่ีอณุ หภมู หิ อ้ ง
5. จงเขียนสูตรโครงสร้างท่ีเป็นไปได้ ทงั้ หมดของสารที่มสี ูตรโมเลกุล C3H8O

CH3 CH CH3

ตอบ CH3 CH2 CH2 OH OH CH3 O CH2 CH3



แบบฝกึ หัด หน้า 84

1. จงระบุว่าสารประกอบชนิดใดต่อไปน้ี เปน็ แอลดไี ฮด์ หรือ คีโตน

สารประกอบ ประเภทของสาร สารประกอบ ประเภทของสาร
O แอลดีไฮด์ O แอลดีไฮด์
H –C-CH3 แอลดีไฮด์
CH3CH- CH2-C -H คีโตน
CH3 คีโตน CHO
O แอลดไี ฮด์
O
CH3CH2C-CH3 C

O CH2CH3
C

H

CH3

2. สารประกอบอินทรยี ์ทก่ี าหนดให้แต่ละคู่ตอ่ ไปน้ี ชนิดใดมีจุดเดือดสูงกวา่ กันเพราะเหตุใด
2.1 โพรพาโนน(propanone) กบั บิวเทน(butane)

ตอบ โพรพาโนนมีจุดเดือดสูงกว่าบิวเทน เนื่องจากสารทั้งสองมีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน แต่
โพรพาโนนเป็นโมเลกุลมขี ั้ว แรงยึดเหนย่ี วระหว่างโมเลกลุ จงึ สูงกวา่ บวิ เทนซงึ่ เป็นโมเลกลุ ไม่มีข้วั

2.2 โพรพานาล(propanal) กบั เพนทานาล(pentanal)
ตอบ เพนทานาลมีจุดเดือดสูงกว่าโพรพานาล เน่ืองจากสารท้ังสองเป็นสารประกอบประเภท
เดียวกัน มหี มู่ฟงั ก์ชนั เหมอื นกนั แต่ เพนทานาลมีมวลโมเลกลุ มากกวา่ จึงมแี รงยึดเหน่ียวระหว่าง
โมเลกุลมากกวา่ จงึ มจี ดุ เดอื ดสูงกว่า

2.3 บิวทานาล(butanal) กับบิวทานอล(butanol)
ตอบ บิวทานอลมีจดุ เดอื ดสงู กว่าบิวทานาล เนอื่ งจากสารทง้ั สองถึงแม้ว่าจะมีมวลโมเลกุลใกล้เคียง
กันเป็นโมเลกุลมีขั้วเหมือนกัน แต่เป็นสารประกอบต่างประเภทกัน บิวทานอลเกิดพันธะ
ไฮโดรเจนยดึ เหนยี่ วระหวา่ งโมเลกลุ ในขณะท่ีบิวทานาลไมม่ ี จึงทาใหม้ จี ุดเดอื ดสงู กวา่
3. จงเขยี นไอโซเมอรท์ ่ีเปน็ ไปไดท้ งั้ หมดของแอลดีไฮดแ์ ละคโี ตนท่ีมีสตู รโมเลกุลต่อไปนี้

3.1 C4H8O
ตอบ มี 3 ไอโซเมอร์ คือ

O

O CH3 CH C H O

CH3 CH2 CH2 C H CH3 CH3 C CH2 CH3

3.2 C5H10O
ตอบ มี 7 ไอโซเมอร์ คือ

OO

O CH3 CH CH2 C H CH3 CH2 CH C H

CH3 CH2 CH2 CH2 C H CH3 CH3

CH3 O O O
CH3 CH C CH3 CH3 CH2 CH2 C CH3
CH3 C C H
CH3 CH3
O

CH3 CH2 C CH2 CH3

4. เพราะเหตุใดแอลดีไฮด์และคีโตนจึงไม่เกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลเช่นเดียวกับ

แอลกอฮอล์

ตอบ พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลจะเกิดเมื่อโมเลกุลมีอะตอมของไฮโดรเจนสร้างพันธะ

โคเวเลนต์กับอะตอมขนาดเล็กที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีสูง เช่น F , O , N อะตอมออกซิเจนและ

ไฮโดรเจนในแอลดีไฮด์และคีโตนต่างสร้างพันธะโคเวเลนต์กับอะตอมของคาร์บอน ไม่มีอะตอม

ไฮโดรเจนสรา้ งพนั ธะกับออกซิเจน จึงไม่เกิดพันธะไฮโดรเจนยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลแอลดีไฮด์

และคโี ตน



แบบฝกึ หดั หน้า 90

1. กรดคารบ์ อกซาลิกแตล่ ะค่ตู ่อไปนีช้ นดิ ใดละลายน้าไดด้ กี วา่ กัน เพราะเหตใุ ด

1.1 CH3COOH กบั CH3CH2CH2COOH

ตอบ CH3COOH ละลายนา้ ไดด้ กี ว่า เพราะมีขนาดโมเลกลุ เลก็ กว่า

1.2 CH3CH2CH2COOH กับ COOH

ตอบ CH3CH2CH2COOH ละลายน้าได้ดีกวา่ เพราะมขี นาดโมเลกลุ เลก็ กวา่

2. จงเขยี นสมการการละลายนา้ ของกรดคาร์บอกซิลิกตอ่ ไปนี้

2.1 HCOOH

HCOOH(aq) + H2O(l) HCOO-(aq) + H3O+(aq)

2.2 Cl COOH

Cl COOH(s) + H2O(l) Cl COO – (aq) + H3O+(aq)

3. สารประกอบอินทรีย์แตล่ ะคูต่ ่อไปนีช้ นดิ ใดมีจุดเดือดสูงกวา่ กัน เพราะเหตใุ ด

3.1 กรดโพรพาโนอกิ (propanoic acid) กบั กรดเฮกซาโนอิก(hexanoic acid)

ตอบ กรดเฮกซาโนอิก เพราะเป็นสารประกอบประเภทเดียวกัน แต่กรดเฮกซาโนอิก มีมวล

โมเลกุลมากกว่า จึงมแี รงยดึ เหนยี่ วระหว่างโมเลกลุ มากกว่า จดุ เดอื ดจึงสูงกวา่ กรดโพรพาโนอิก

3.2 กรดเมทาโนอิก(methanoic acid) กับ เอทานอล(ethanol)

ตอบ กรดเมทาโนอิก เน่ืองจากสารท้ังสองมีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน เป็นโมเลกุลมีขั้ว

เชน่ เดียวกัน แตก่ รดเมทาโนอกิ เกิดพันธะไฮโดรเจนไดม้ ากกวา่ จึงมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล

มากกว่า จดุ เดือดจงึ สงู กว่าเอทานอล

3.3 เพนทาโนน(pentanone) กบั กรดบิวทาโนอกิ (butanoic acid)

ตอบ กรดบิวทาโนอิกมีจุดเดือดสูงกว่า เน่ืองจากกรดบิวทาโนอิกมีพันธะไฮโดรเจนระหว่าง
โมเลกลุ แต่ เพนทาโนนไม่มีพันธะไฮโดรเจนระหวา่ งโมเลกลุ จดุ เดอื ดจึงสูงกว่า
4.จงเรียงลาดับสารประกอบอินทรีย์ในแต่ละข้อต่อไปน้ี จากสารท่ีมีจุดเดือดสูงสุดไปหาสารที่มี
จดุ เดือดต่า

4.1 กรดแอซติ ิก(acetic acid) กรดโพรพาโนอิก(propanoic acid) กรดบิวทาโนอกิ (butanoic acid)
ตอบ เรียงลาดับ คอื กรดบิวทาโนอกิ กรดโพรพาโนอกิ กรดแอซิตกิ
เหตุผล สารทัง้ สามเป็นกรดอินทรยี ์เหมือนกนั กรดบวิ ทาโนอิกมีมวลโมเลกลุ มากทีส่ ดุ จดุ เดือด
จงึ สูงกว่า กรดโพรพาโนอิก และ กรดแอซิติก ตามลาดบั

4.2 บิวเทน(butane) โพรพานอล(propanol) กรดแอซติ กิ (acetic acid)
ตอบ เรียงลาดบั คอื กรดแอซิติก โพรพานอล บวิ เทน
เหตุผล สารทั้งสามมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน บิวเทนเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว จุดเดือดจึงต่าสุด ส่วน
กรดแอซิติกและโพรพานอล เป็นโมเลกุลมีขั้ว กรดแอซิติกเกิดพันธะไฮโดรเจนได้มากกว่า
โพรพานอล จึงมีจดุ เดอื ดสงู กว่า

4.3 บิวทานอล(butanol) บิวทาโนน(butanone) กรดโพรพาโนอกิ (propanoic)
ตอบ เรยี งลาดับ คือ กรดโพรพาโนอกิ บวิ ทานอล บิวทาโนน
เหตุผล สารท้ังสามมีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกันและมีขั้วเหมือนกัน แต่บิวทาโนนไม่มีพันธะ
ไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุล จึงมีจุดเดือดต่าท่ีสุด ส่วนกรดโพรพาโนอิกเกิดพันธะไฮโดรเจนได้
มากกว่าบิวทานอล แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลจึงมากกว่า จดุ เดือดจงึ สูงกว่าบิวทานอล
5. จงเขยี นสูตรโครงสรา้ งแสดงไอโซเมอร์ของกรดอินทรีย์ท่มี ีสูตรโมเลกลุ C5H10O2
พร้อมทัง้ เรยี กชือ่ ของกรดอนิ ทรีย์แตล่ ะไอโซเมอร์
ตอบ มีสตู รโครงสร้างของกรดอินทรีย์ 4 ไอโซเมอร์ ดงั นี้

CH3 CH2 CH COOH

CH3 CH2 CH2 CH2 COOH CH3

กรดเพนทาโนอิก กรด 2-เมทิลบวิ ทาโนอกิ

(pentanoic acid) (2-methylbutanoic acid)

CH3

CH3 CH CH2 COOH CH3 C COOH

CH3 CH3

กรด 3-เมทิลบวิ ทาโนอกิ กรด 2,2-ไดเมทิลโพรพาโนอิก

(3-methylbutanoic acid) (2,2-dimethylpropanoic acid)



แบบฝกึ หัด หนา้ 98

1. สารทีก่ าหนดให้ต่อไปน้ี สารใดเปน็ เอสเทอร์ ทาเคร่ืองหมาย  หน้าขอ้ ที่เปน็ เอสเทอร์

OO

 ก. CH3-O-C-CH3 ข. CH3-CH2-CH2-C-OH
O O

ค. CH3-O-CH2-C-CH3  ค. CH3-C-O-CH2-CH3
O

 ง. CH3 – -O-C-CH3

2. จงระบุว่าเอสเทอร์ต่อไปนี้ เกิดจากการทาปฏิกริ ยิ าระหว่างกรดอินทรียแ์ ละแอลกอฮอลช์ นดิ ใด
พร้อมทง้ั เขยี นปฏกิ ิรยิ าเอสเทอรฟิ เิ คชนั ท่ีเกิดขึ้น

ก. เมทิลโพรพาโนเอต(methylpropanoate)
ตอบ เกิดจากการทาปฏกิ ิรยิ าระหว่าง กรดโพรพาโนอิก(propanoic aid) กบั เมทานอล(methanol)

CH3CH2COOH + CH3OH H+ CH3CH2COOCH3 + H2O

ข. โพรพลิ บิวทาโนเอต(propylbutanoate)

ตอบ เกิดจากการทาปฏกิ ิริยาระหว่าง กรดบิวทาโนอิก([butanoic acid) กบั โพรพานอล(propanol)

OO

CH3CH2CH2COH + CH3CH2CH2OH H+ CH3CH2CH2COCH2CH2CH3 + H2O

ค. บิวทลิ ซาลิซเิ ลต(butylsalicilate)

ตอบ เกิดจากการทาปฏกิ ริ ิยาระหว่าง กรดซาลซิ ิลิก(salicylic acid) กับ บวิ ทานอล([butanol)

OO

C OH H+ C O CH2CH2CH2CH3
+ H2O
+ CH3CH2CH2CH2OH
OH OH

3. จงเขยี นสมการแสดงปฏิกิรยิ าไฮโดรลิซสิ ของเอสเทอร์ท่ีกาหนดใหต้ ่อไปนี้พร้อมทง้ั อ่านชอ่ื

ผลิตภัณฑท์ ่เี กิดข้ึน

ก. บิวทิลแอซเิ ตต(butylacetate)

OO

CH3COCH2CH2CH2CH3 + H2O H+ CH3COH + CH3CH2CH2CH2OH

กรดเอทาโนอกิ (ethanoic acid) + บวิ ทานอล(butanol)

ข. เพนทิลบวิ ทาโนเอต(pentylbutanoate)

OO

CH3CH2CH2COCH2CH2CH2CH2CH3 + H2O H+ CH3CH2CH2COH + CH3CH2CH2CH2CH2OH

กรดบิวทาโนอิก(butanoic acid) + เพนทานอล(pentanol)

ค. เอทิลซาลิซเิ ลต(ethylsalicilate)

OO

C O CH2CH3 C OH
OH
+ H2O H+ + CH3CH2OH
OH

กรดซาลิซลิ กิ (salicilic acid) + เอทานอล(ethanol)

4. จงเขยี นสตู รโครงสร้างของไอโซเมอรข์ องสารประกอบทีม่ ีสูตรโมเลกลุ C4H8O2 ตามเงอื่ นไข
ตอ่ ไปน้ี

ก. ไอโซเมอร์ทเ่ี ป็นกรดอนิ ทรยี ์

ตอบ มี 2 ไอโซเมอร์ คือ

O

CH3 CH2 CH2 C OH กรดบิวทาโนอิก (butanoic acid)

O

CH3 CH C OH กรด2-เมทลิ โพรพาโนอิก (2-methylpropanoic acid

CH3 เมทลิ โพรพาโนเอต (methylpropanoate)
เอทลิ เอทาโนเอต (ethylethanoate)
ข. ไอโซเมอร์ท่ีเป็นเอสเทอร์ โพรพลิ เมทาโนเอต (propylmethanoate)
ตอบ มี 4 ไอโซเมอร์ คือ

O
CH3 CH2 C O CH3

O

CH3 C O CH2 CH3
O

H C O CH2 CH2 CH3
O

H C O CH CH3 1-เมทลิ เอทิลเมทาโนเอต (1-methylethylmethanoate)
CH3 

แบบฝึกหดั หน้า 107

1. สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน 2 ชนิด A และ B มสี ตู รโมเลกุล C4H8 สาร A ฟอกสีสารละลาย
KMnO4 สาร B ไม่ฟอกสี KMnO4 จากสมบัติดังกล่าว สาร A และสาร B เป็นสารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอนประเภทใดและมีสูตรโครงสร้างเปน็ อย่างไร

ตอบ สาร A เป็นแอลคีน มีสูตรโมเลกุล คอื CH3-CH2-CH=CH2
สาร B เปน็ ไซโคลแอลเคน มสี ูตรโมเลกลุ คือ

2. แอลเคน A B และ C มสี ตู รโครงสร้างและสมบตั ิดงั ตาราง

สาร สูตรโครงสร้าง จุดเดือด (๐C)

A CH3(CH2)3CH3 36.1

B CH3CH2CH(CH3)2 27.8

C C(CH3)4 -11.7

นักเรยี นคิดว่าจดุ เดือดของสารมีความสัมพันธก์ บั โครงสร้างของโมเลกุลอยา่ งไร เพราะเหตุใด

ตอบ แอลเคนท่ีมีสูตรโครงสร้างเป็นโซ่ตรงมีจุดเดือดสูงกว่าแอลเคนท่ีมีสูตรโครงสร้างเป็นโซ่ก่ิง

เมอ่ื มีมวลโมเลกุลเทา่ กัน เน่ืองจาก การมีโครงสร้างแบบโซ่ตรงทาให้การจัดเรียงโมเลกุลได้ใกล้ชิด

และมีระเบียบมากกว่า จึงทาให้มีแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลมากกว่า ส่งผลให้มีจุดเดือดสูงกว่า

การมีโครงสร้างเปน็ แบบโซก่ งิ่

3. จงวงกลมลอ้ มรอบหมฟู่ งั กช์ นั ทีอ่ ยู่ในโมเลกุลของธาซอล (taxol) ซ่ึงเป็นสารตา้ นมะเรง็ พร้อมทงั้

ระบุช่ือหมู่ฟังกช์ ันแต่ละตาแหนง่

O O 3

1 25 OH

NH OO 4

O O3H O
O 2O O
2
2
O
O
OH

3

ตอบ 1 = หมู่เอไมด์ 2 = หมแู่ อลคอกซีคาร์บอนิล 3 = หมูไ่ ฮดรอกซิล
4 = หมู่ออกซี 5 = หมู่คารบ์ อนลิ

4. จงเขียนสูตรโครงสรา้ งลวิ อิสที่เปน็ ไปได้ทง้ั หมดของสารทม่ี สี ตู รโมเลกุลต่อไปนี้

ก. C3H4 เขยี นสตู รโครงสร้างได้ 3 ไอโซเมอร์

H HH HH

HCCCH HCCCH C

H HCCH

ข. C4H8 เขียนสตู รโครงสรา้ งได้ 5 ไอโซเมอร์

HHHH HHHH HH HH HH
HCCH CH
H C C C C HH C C C C HH C C C H

HH H H H HC CHHCCCH

HCH HH HHH

H

ค. C3H3 F3 เขยี นสตู รโครงสรา้ งได้ 8 ไอโซเมอร์

HH F HFF FHF FFF

HCCC F HCCC F HCCC F HCCCH

F HH H

F FH FHF HF HF
C C

FCCCH FCCCH HCC F FCCH

H H FH FH

ง. C3H6 O เขยี นสูตรโครงสรา้ งได้ 9 ไอโซเมอร์

HHO HOH HHH HHH

H C C C H H C C C H H C C C OH H C C C O H

HH HH H H

H HH O H
HCO
HOH HH H C HCCH HCCH

HCCCHHCCOCH H C C H HH C H HH

HH HOH H

จ. C3H9 N เขยี นสูตรโครงสรา้ งได้ 4 ไอโซเมอร์

HHHH HHH HHHH HH

HCCCNH HCCNH HCNCCH HCNCH

HHH H H HH HH

HCH HCH

HH

ฉ. C3H6 O2 เขียนสตู รโครงสรา้ งได้ 32 ไอโซเมอร์

HHO HO H O HH OH H
HCCOCH
HCCCOH HCCOCH HCOCCH
HH
HH HH HH

OHH OHH HOH HHH
HCCCOH HCCCH
H C C C OHH C C C OOH
HH HOH
HH H

HH H HH H HOHH HH H

H C C O O C HH C C O C O H H C C O C H H O C C O C H

HH H H

HHH HH HH HHH

H C C C O HH C C C O H H O C C C H H O C C C O H

OH HOH HOH H

HH H OH HH

H H O C H H H C O O HH C O HH C O H H O HH
O C C CC CC CC CCC

HH HH HH H OH H O HH

OH OH H H H
HC C C OCCC C C
H H O H O H H H O O CH
H HH O H H HH HC C O C HO C C
H C HH
HH H

HH

H H HH H H H H
HCO HCO HH C O H C O H H H
C C
HC OHC O

H C C O HH O C C H C C O OCCH HCO OCH
H H
HH HH HH
HH H

O

5. แอลกอฮอล์ + สาร A H+

CH3-C-O-CH2-CH2-CH2-CH3 + H2O

ก. จงเขียนชื่อและสูตรโครงสร้างของแอลกอฮอลแ์ ละสาร A พรอ้ มทั้งบอกวธิ ีทดสอบสารทงั้

สองชนดิ

ตอบ แอลกอฮอล์ คือ บิวทานอล(butanol) สตู รโครงสร้าง CH3-CH2-CH2-CH2-OH

สาร A คือ กรดเอทาโนอิก(ethanoic acid) สูตรโครงสร้าง CH3-COOH

ทดสอบโดยนาสารท้ังสองไปทาปฏิกิริยากับสารละลาย NaHCO3 สารท้ังสองจะเกิดปฏิกิริยา

ต่างกัน คือ แอลกอฮอล์จะไม่ทาปฏิกิริยากับสารละลาย NaHCO3 ส่วนสาร A เป็นกรดอินทรีย์

ทาปฏกิ ิรยิ ากับสารละลาย NaHCO3 ไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ป็นแก๊ส CO2 เขยี นสมการ ดังน้ี

CH3COOH(aq) + NaHCO3(aq) CH3COONa(aq) + H2O(l) + CO2 (g)

ข. จงบอกชอ่ื ของปฏิกิรยิ าท่เี กดิ ข้ึน

ตอบ ปฏกิ ริ ยิ าเอสเทอริฟิเคชัน

ค. ผลิตภัณฑ์ที่เกิดข้ึนเป็นสารประกอบอินทรีย์ประเภทใด จงเขียนชื่อและสมบัติของผลิตภัณฑ์

ท่เี กดิ ขนึ้

ตอบ ผลิตภัณฑท์ ่ีเกิดขึ้นคือเอสเทอร์ชือ่ บิวทิลเอทาโนเอต(butylethanoate) เป็นสารที่มีกลิน่ เฉพะตวั

6. ปฏกิ ริ ิยาทกี่ าหนดให้ต่อไปนี้เป็นปฏกิ ริ ิยาประเภทใด เมือ่ อย่ใู นภาวะทเี่ หมาะสม

ก. เอทานอล + ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ + น้า

ตอบ ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้

ข. อีเทน + โบรมีน โบรโมอีเทน + ไฮโดรเจนโบรไมด์

ตอบ ปฏกิ ิริยาการแทนที่

ค. เอทิลีน + คลอรนี ไดคลอโรอีเทน

ตอบ ปฏกิ ิริยาการเตมิ

ง. เบนซนี + คลอรีน คลอโรเบนซีน + ไฮโดรเจนคลอไรด์

ตอบ ปฏกิ ิรยิ าการแทนที่

จ. เพนทานอล + แอซิติก เพนทิลแอซิเตต + น้า

ตอบ ปฏกิ ิริยาเอสเทอริฟเิ คชัน

ฉ. เมทิลฟอร์เมต + นา้ ฟอร์มกิ + เมทานอล

ตอบ ปฏกิ ิริยาไฮโดรลซิ ิส

7. A และ B เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีมีโครงสร้างเป็นโซ่เปิด นา A และ B อย่างละ

1 โมล ทาปฏกิ ริ ยิ าเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ พบว่าเกิดไอน้าขึ้น 6 โมลเท่ากัน หยด A และ B ลง

ในหลอดทดลอง 2 หลอด ทม่ี ีสารละลายโบรมีนและอยู่ในห้องมืด ตามลาดับ เม่ือเวลาผ่านไป

5 นาที พบวา่ หลอดท่หี ยดสาร A ไม่เปล่ยี นแปลง สว่ นหลอดท่ีหยดสาร B สารละลายเปลี่ยนจาก

สนี ้าตาลแดงเปน็ ไม่มีสี

ก. สาร A และ B เปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนประเภทใด เพราะเหตุใด

ตอบ สาร A และ B เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีเป็นโซ่เปิด ดังน้ันจึงเป็นอะลิฟาติก

ไฮโดรคาร์บอน โดยสาร A เป็นแอลเคน เพราะไม่ทาปฏิกิริยากับสารละลายโบรมีนในที่มืด

สว่ นสาร B อาจเปน็ ได้ทงั้ แอลคนี และแอลไคน์ เพราะสามารถเกิดปฏิกิริยากับสารละลายโบรมีน

ในท่ีมืดได้

ข. สาร A และสาร B มีชื่อและสูตรโมเลกลุ อย่างไร เขียนสมการแสดงปฏิกริ ิยาการเผาไหมท้ ่ี

สมบูรณข์ องสาร A และ B

ตอบ สาร A 1 โมล ให้ H2O 6 โมล ดังน้นั สาร A 1 โมเลกุลประกอบด้วย H 12 อะตอม
สาร A คอื เพนเทน(pentane) สูตรโมเลกลุ C5H12

ปฏิกริ ิยาเผาไหม้ C5H12 + 8O2 5CO2 + 6H2O

สาร B 1 โมล ให้ H2O 6 โมล ดงั นนั้ สาร B 1 โมเลกุลประกอบด้วย H 12 อะตอม

กรณเี ปน็ แอลคนี สาร B คอื เฮกซีน(hexene) สูตรโมเลกลุ C6H12

ปฏิกิริยาเผาไหม้ C6H12 + 9O2 6CO2 + 6H2O

กรณเี ปน็ แอลไคน์ สาร B คือ เฮปไทน์(heptyne) สตู รโมเลกลุ C7H12

ปฏิกริ ยิ าเผาไหม้ C7H12 + 10O2 7CO2 + 6H2O

ค. ถ้านาหลอดท่ีหยดสาร A มาวางไว้ในท่ีสว่าง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เกิดปฏิกิริยา

ประเภทใด และมวี ธิ ที ดสอบผลิตภัณฑ์ทเ่ี กิดขึ้นอยา่ งไร

ตอบ สีนา้ ตาลแดงจางหายไปและมแี ก๊สทเ่ี ป็นกรดเกิดขึ้น เกิดปฏกิ ิรยิ าการแทนท่ี ดังสมการ

C5H12 + Br2 C5H11Br + HBr

ทดสอบแก๊ส HBr ที่เกดิ ข้ึนโดยใช้กระดาษลติ มสั ชบุ น้าให้ช้นื มาอังที่ปากหลอดทดลอง

8. จงเรียกชือ่ IUPAC ของสารประกอบอนิ ทรยี ต์ ่อไปนี้

ข้อ สูตรโครงสร้าง ชื่อ
2-เมทลิ -2-เพนทานอล
CH3 (2-methyl-2-pentanol)

1 CH3 CH2 CH2 C CH3 3-เอทลิ -1-เฮกซานอล
(3-ethyl-1-hexanol)
OH
CH3 CH2 CH2 CH CH2 CH2 OH

2 CH2

CH3

3 CH3 CH2 CH2 CH2 CH2 COOH กรดเฮกซาโนอิก (hexanoic acid)
4 CH3 CH2 CH2 CH CH3 กรด 2-เมทิลเพนทาโนอิก
(2-methylpentanoic acid)
COOH เอกซานาล (hexanal)

5 CH3 CH2 CH2 CH2 CH2 CHO 3,3-ไดเมทลิ บวิ ทานาล
(3,3-dimethylbutanal)
CH3
3-เฮกซาโนน
6 CH3 C CH2 CHO (3-hexanone)

CH3
O

7 CH3 CH2 C CH2 CH2 CH3

ข้อ สตู รโครงสรา้ ง ช่ือ

O 3-เมทิล-2-บวิ ทาโนน
(3-methyl-2-butanone)
8 CH3 C CH CH3
1-เพนทานามีน (1-pentanamine)
CH3
2-เมทลิ -2-เพนทานามนี
9 CH3 CH2 CH2 CH2 CH2 NH2 (2-methyl-2-pentanamine)

CH3 เฮกซานาไมด์ (hexanamide)
2-เอทลิ เพนทานาไมด์
10 CH3 CH2 CH2 C CH3 (2-ethylpentanamide)
โพรพิลเอทาโนเอต
NH2 (propylethanoate)
เอทลิ เพนทาโนเอต
11 CH3 CH2 CH2 CH2 CH2 CONH2 (ethylpentanoate)
12 CH3 CH2 CH2 CH CH2 CH3
1-โบรโม-4-คลอโรเบนซนี
CONH2 (1-bromo-4-chlorobenzene)

O

13
CH3 C O CH2 CH2 CH3

O

14

CH3 CH2 CH2 CH2 C O CH2 CH3
Br

15

Cl

9. จากชื่อของสารต่อไปนี้ จงเขยี นสตู รโครงสรา้ งให้ถูกต้อง

ข้อ ชอื่ สตู รโครงสรา้ ง

1 3-เมทลิ -2-เพนทานอล CH3
(3-methyl-2-pentanol)
CH3 CH2 CH CH CH3
2 3-เมทลิ -1-บิวทานอล
(3-methyl-1-butanol) OH
CH3
3 กรด 3,4-ไดเมทิลเฮกซาโนอิก
(3,4-dimethylhexanoic acid) CH3 CH CH2 CH2 OH
CH3 CH3
4 กรด 2-เอทิลบิวทาโนอกิ
(2-ethylbutanoic acid) CH3 CH2 CH CH CH2 COOH
CH3 CH2 CH COOH
CH2
CH3

ข้อ ชือ่ สตู รโครงสรา้ ง

5 2-เอทิล-2-เมทลิ บิวทานาล CH3
(2-ethyl-2-methylbutanal) CH3 CH2 C CHO

6 2.3-ไดเมทิลเพนทานาล CH2 CH3
(2.3-dimethylpentanal) CH3 CH3
CH3 CH2 CH CH CHO
7 3-เพนทาโนน O
(3-pentanone)
CH3 CH2 C CH2 CH3
8 2,4-ไดเมทลิ -3-เพนทาโนน O
(2,4-dimethyl-3-pentanone)
CH3 CH C CH CH3
9 3-เฮกซานามีน CH3 CH3
(3-hexanamine)
CH3 CH2 CH2 CH CH2 CH3
10 2,2-ไดเมทลิ -1-โพรพานามนี NH2
(2,2-dimethyl-1-propanamine)
CH3
11 2-เมทิลบิวทานาไมด์
(2-methylbutanamide) CH3 C CH2 NH2
CH3
12 เพนทานาไมด์ CH3
(pentanamide)
CH3 CH2 CH CONH2
13 2-เมทิลโพรพิลเมทาโนเอต
(2-methylpropylmethanoate) CH3 CH2 CH2 CH2 CONH2

14 เมทลิ ซาลิซเิ ลต O
(methylsalicilate)
H C O CH2 CH CH3
15 1,4-ไดโบรโมเบนซนี CH3
(1,4-dibromobenzene)
O
C O CH3

OH
Br

Br

10. สารประกอบของคาร์บอนแต่ละคตู่ ่อไปนี้ สารใดมจี ุดเดือดสูงกวา่ กัน

CH3 O
CH3

ก. OH และ

CH3

ตอบ OH มจี ุดเดือดสูงกว่าเนอื่ งจากเกดิ พนั ธะไฮโดรเจน จึงมแี รงยดึ เหนยี่ วระหวา่ ง

โมเลกลุ มากกวา่ O
CH3

ซึง่ ไม่มีพันธะไฮโดรเจน

ข. CH3CH2CH2COOH และ CH3CH2CH2CH2OH

ตอบ CH3 CH2 CH2COOH มีจุดเดือดสงู กวา่ เน่อื งจากเกดิ พันธะไฮโดรเจนได้มากกว่า จึงมี

แรงยึดเหน่ยี วระหว่างโมเลกลุ มากกว่า CH3 CH2 CH2 CH2 OH

OO

ค. CH3 CH2 C OH และ CH3 C O CH3

O

ตอบ CH3 CH2 C OH มจี ุดเดือดสงู กว่าเน่อื งจากเกิดพนั ธะไฮโดรเจน จึงมีแรงยึดเหนี่ยว

O

ระหวา่ งโมเลกลุ มากกวา่ CH3 C O CH3 ซงึ่ ไม่มพี นั ธะไฮโดรเจน
11. จากปฏกิ ิริยาต่อไปนี้

A + H2O H+/ OH- B +C
B + alcohol H+ D + H2O

D + NaOH CH3CH2CH2COONa + E

C + HCl CH3NH3+ + Cl-
E + Na CH3CH2ONa + H2

E + NaHCO3

B + NaHCO3 CH3CH2CH2COONa + H2O + F

จงเขยี นสูตรโครงสร้างของ A B C D E และ F

ตอบ A = CH3CH2CH2CONHCH3 D = CH3CH2CH2COOCH2CH3
B = CH3CH2CH2COOH E = CH3CH2OH
C = CH3NH2 F = CO2

12. จงเตมิ ปฏกิ ริ ยิ าต่อไปนีใ้ ห้สมบรู ณ์ CH3 CH CH2 ONa + H2
CH3
1. CH3 CH CH2 OH + Na COONa + H2O + CO2
CH3

2. COOH + NaHCO3

3. CH3CH=CHCH2COOH + Na CH3CH=CHCH2COONa + H2

4. CH3CH2CH2COOH + CH3CH2OH H+
CH3CH2CH2COOCH2CH3 + H2O

CH3 O + H2O CH3 O OH
H+ CH3 C CH2 C OH +
5. CH3 C CH2 C O
CH3
CH3 O
O

6, CH3CH2CH2CH2OCCH3 + NaOH CH3CONa + CH3CH2CH2CH2OH
O O

7. CH3CH2CNHCHCH3 + H2O CH3CH2COH + CH3CHNH2
CH3
CH3
8. CH3 CH2 CH2 NH2 + HCl CH3 CH2 CH2 NH3+ + Cl-

O

9. CO2 + 2NH3 NH2 C NH2 + H2O

10. CH2NH2 + H2O CH2NH3+ + OH-



หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 12 เชื้อเพลิงซากดกึ ดาบรรพ์และผลติ ภณั ฑ์

แบบฝึกหัด หน้า 127
1. เชอ้ื เพลิงซากดึกดาบรรพ์คืออะไร มกี ี่ชนิดอะไรบา้ ง
ตอบ เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ คือเชื้อเพลิงที่เปล่ียนสภาพมาจากส่ิงมีชีวิตในยุคต่างๆเป็นเวลา
นานนับล้านปี โดยกระบวนการทางธรณีวิทยาและธรณีเคมี ตัวอย่างเชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์
ได้แก่ ถ่านหิน หินน้ามัน น้ามันดิบ และแก๊สธรรมชาติ ถ่านหินเป็นเช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ท่ีมี
มากท่ีสดุ ถงึ รอ้ ยละ90 ของพลังงานสารองของโลก
2. การใชถ้ า่ นหนิ เป็นเชื้อเพลงิ มขี อ้ ดีและขอ้ เสียอยา่ งไร
ตอบ ขอ้ ดเี ปน็ เชื้อเพลงิ ทม่ี มี ากท่ีสดุ จงึ มีราคาไม่แพงเม่ือเปรียบเทียบกับน้ามันและแก๊สธรรมชาติ
เนื่องจากตน้ ทุนในการผลิตตา่ กวา่

ข้อเสีย ไม่สะดวกในการขนส่งและการนาไปใช้ เมื่อเผาไหม้ธาตุที่เป็นองค์ประกอบใน
ถ่านหินเกิดออกไซด์ที่เป็นพิษ เช่น CO2 CO SO2 NO และ NO 2 เกิดเขม่าและเถ้าถ่านทาให้
เกดิ ปญั หาตอ่ ระบบทางเดนิ หายใจและเกิดความสกปรก รวมทัง้ กอ่ ใหเ้ กิดปญั หาตอ่ สิ่งแวดล้อม
3. ประสิทธภิ าพของถา่ นหนิ ทใ่ี ชเ้ ป็นเช้ือเพลิงข้ึนกับปจั จยั ใด
ตอบ ประสิทธิภาพของการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงขึ้นอยู่กับปริมาณคาร์บอนที่เป็นองค์ประกอบ
ถ่านหินท่ีมีปริมาณคาร์บอนมากหรือมีอายุการเกิดนาน จะมีปริมาณคาร์บอนสูงและเผาไหม้ให้ค่า
พลงั งานความร้อนสงู กว่าถ่านหินทม่ี อี ายกุ ารเกิดน้อย
4. เมือ่ เผาไหม้ถ่านหนิ จะไดส้ ารใดเปน็ ผลิตภัณฑแ์ ละกระทบตอ่ ส่งิ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอ้ มอย่างไร
ตอบ 1. CO2เป็นสาเหตุสาคัญของภาวะเรอื นกระจกซงึ่ ทาใหอ้ ุณหภูมิของโลกร้อนขึน้

2. CO เปน็ แก๊สท่ีมีกล่ินและไม่มีสี ถ้ามีความเข้มข้นมากจะมีผลต่อสุขภาพของประชาชน
ที่อยู่ใกล้เคียง ทาให้ผู้ที่ได้รับแก๊สนี้เกิดอาการมึนงง คล่ืนไส้ ซึ่งถ้าได้รับปริมาณมากอาจทาให้
หมดสตหิ รอื ถึงตายได้

3. SO2 และ NOX ( NO2 และ NO) เป็นสาเหตุสาคัญของภาวะมลพิษในอากาศ ทาให้เกิด
การระคายเคอื งตอ่ ระบบทางเดินหายใจและปอด เกิดฝนกรดซ่ึงทาให้น้าในแหล่งน้าต่างๆ มีความ
เป็นกรดสงู ขนึ้ ส่งผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของทัง้ พชื และสตั ว์และการผกุ รอ่ นของสง่ิ กอ่ สรา้ ง

4. ของเสียท่ีเปน็ ฝุ่นหรือเถา้ ถ่านจะมีพวกโลหะต่างๆ ปนออกมาด้วย ทาให้เกิดการปนเปื้อน
ในแหลง่ นา้ เกดิ ผลเสียตอ่ สภาพแวดลอ้ มและตอ่ ส่งิ มชี ีวติ ทั้งในพชื และสัตว์
5. ปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ สมบตั ิของถ่านหินได้แกอ่ ะไร

ตอบ ปัจจัยที่มีผลต่อสมบัติของถ่านหิน ได้แก่ ชนิดของพืชท่ีทับถม สภาพแวดล้อมของแหล่ง
สะสมตะกอน ความรอ้ นและความดนั ขณะท่ีมกี ารเปลย่ี นแปลง และการเน่าเป่ือยท่ีเกิดข้ึนก่อนการ
ถกู ฝงั กลบ

แบบฝกึ หดั หนา้ 137
1. จงอธบิ ายกระบวนการเกดิ ปิโตรเลียมและองคป์ ระกอบของปโิ ตรเลยี ม
ตอบ ปิโตรเลียมเกิดจากซากพืชซากสัตว์บริเวณทะเลทับถมกันเป็นเวลานาน ภายใต้อุณหภูมิและ
ความดันสงู จนเกิดการแยกสลายเปลยี่ นสภาพเปน็ นา้ มนั ดบิ และแก๊สธรรมชาติแทรกอยู่ในช้ันหิน
น้ามันดิบมีลักษณะเป็นของเหลวข้นสีดาหรือสีน้าตาลเข้ม เป็นสารผสมของไฮโดรคาร์บอนหลาย
ชนิด ส่วนแก๊สธรรมชาติประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีคาร์บอน 1-5 อะตอม
รวมท้ังสารประกอบท่ีไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ คาร์บอนไดออกไซด์
นอกจากนี้ยังประกอบด้วยแก๊สไนโตรเจนและฮีเลียม สัดส่วนขององค์ประกอบในแก๊สธรรมชาติ
จะแตกตา่ งกนั ข้นึ อยูก่ ับแหลง่ ทีพ่ บ
2. การสารวจทางธรณวี ิทยาเพ่อื หาแหลง่ ปิโตรเลยี มชว่ ยให้ได้ขอ้ มลู ในการคาดคะเนในเร่ืองใด
ตอบ การสารวจทางธรณีวิทยาเพ่ือหาแหล่งปิโตรเลียมช่วยให้ได้ข้อมูลในการคาดคะเนว่าจะมี
โอกาสพบโครงสรา้ งและชนดิ ของหนิ ใต้พ้ืนดินท่ีเอื้ออานวยต่อการกักเก็บปิโตรเลียมในบริเวณนั้น
มากนอ้ ยเพียงใด
3. การสารวจทางธรณีฟิสิกส์เพื่อหาแหล่งปิโตรเลียมได้แก่การสารวจในเรื่องใดและข้อมูลที่ได้มี
ประโยชนอย่างไร
ตอบ การสารวจทางธรณีฟสิ กิ ส์เพ่ือหาแหล่งปโิ ตรเลยี มไดแ้ กก่ ารสารวจในเร่ืองต่อไปน้ี

1. วัดความเขม้ สนามแม่เหล็กโลก เพ่ือใหท้ ราบถึงความหนา ขอบเขต ความกว้างของแอ่ง
และความลกึ ของช้นั หิน

2. วดั คา่ ของความโน้มถว่ งของโลก เพ่อื ทราบชนดิ ของชัน้ หินใตผ้ ิวโลกในระดบั ตา่ งๆ
3. วัดคลืน่ ไหวสะเทือน เพอื่ ทราบตาแหน่ง รปู รา่ ง ลักษณะ และโครงสร้างของช้ันหิน
ใตพ้ ื้นดนิ



แบบฝกึ หดั หนา้ 148

1. การปรบั ปรุงโครงสรา้ งโมเลกุลของนา้ มันโดยวิธีแอลคิลเลชันแตกต่างจากวธิ ีโอลโิ กเมอไรเซชัน

อย่างไร

ตอบ วธิ แี อลคิลเลชัน เป็นการเพิ่มหมู่แอลคิลเข้าไปในโมเลกุล โดยการนาแอลเคนกับแอลคีนท่ี

มีโซ่ก่ิงมาทาปฏิกิริยากันและใช้กรดซัลฟิวริกเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอลเคนท่ีมีโซ่

กิง่

ส่วน วิธีโอลิโกเมอไรเซชัน เป็นการนาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อ่ิมตัวโมเลกุลเล็กมาทา

ปฏิกิริยากันเกิดเป็นโมเลกุลท่ีมีจานวนอะตอมของคาร์บอนเพ่ิมขึ้นและยังมีพันธะคู่เหลืออยู่ใน

โมเลกุล

2. น้ามันเบนซินชนิดหน่ึงมีส่วนผสมของไอโซออกเทน 18 ส่วน และเฮปเทน 2 ส่วนโดยมวล

นา้ มนั ชนดิ นมี้ ีเลขออกเทนเท่าใด

ตอบ สมมติให้น้ามนั เบนซิน 100 สว่ น ประกอบดว้ ยไอโซออกเทน a สว่ น

ไอโซออกเทน a สว่ น = ไอโซออกเทน 18 สว่ น

เบนซนิ 100 สว่ น 18 เบนซิน 20 สว่ น
20
ไอโซออกเทน a ส่วน = 100 = 90

ดงั นั้น น้ามนั เบนซนิ มเี ลขออกเทน 90

3. เบนซีน และเบนซนิ มคี วามเหมอื นหรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร จงอธบิ าย

ตอบ เบนซีนและเบนซินเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ติดไฟได้เช่นเดียวกัน มีความแตกต่าง

กัน คือ เบนซีนเป็นสารประกอบอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน มีสูตรเป็น C6H6 ติดไฟได้ดี มีเขม่า
มาก เนื่องจากเป็นไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว ไอของเบนซีนเป็นพิษ ก่อให้เกิดมะเร็งในเส้นเลือด

ไมน่ ยิ มใชเ้ ป็นเชือ้ เพลิง

ส่วนเบนซิน หรือน้ามันเบนซิน ใช้เป็นเช้ือเพลิงในเครื่องยนต์แก๊สโซลีน เป็น

สารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีมีส่วนผสมของแอลเคนท่ีมีคาร์บอนอยู่ในช่วง 6 – 12 อะตอม เผา

ไหม้ไดด้ ี ไม่มีเขม่า จงึ นยิ มใชเ้ ป็นเชื้อเพลิง

3. เลขซีเทนเป็นค่าท่ีระบสุ มบตั ิการเผาไหม้ของนา้ มันดีเซล จงอธิบายความหมายของนา้ มนั ดเี ซลท่ี

มเี ลขซีเทน 48

ตอบ นา้ มนั ดเี ซลทมี่ ีเลขซีเทน 48 หมายถงึ น้ามันดีเซลทปี่ ระกอบด้วยน้ามันเช้ือเพลิงซ่ึงมีสมบัติการ

เผาไหม้เช่นเดียวกับสารที่เกิดจากการผสมซีเทน (C16H34) 48 ส่วน กับแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน
(C11H10) 52 สว่ น โดยมวล

4. จงบอกชอื่ ผลติ ภัณฑท์ ่ไี ด้จากการแยกแก๊สธรรมชาติและกลั่นน้ามันดิบซ่ึงนามาใช้เป็นสารตั้งต้น
ในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมีข้นั ต้น
ตอบ ผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากการแยกแก๊สธรรมชาติและกล่ันน้ามันดิบ ซ่ึงนามาใช้เป็นสารตั้งต้นใน
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีข้ันต้น ได้แก่ อีเทนใช้ผลิตเอทิลีน โพรเพนใช้ผลิตโพรพิลีน แนฟทาใช้
ผลิตเบนซนี โทลูอีนและไซลนี


แบบฝกึ หัด หนา้ 154
1. จงเตมิ สูตรเคมขี องสารผลติ ภณั ฑ์ ประเภทของพอลิเมอร์ว่าเป็นโคพอลิเมอร์หรือโฮโมพอลิเมอร์
และประเภทของพอลเิ มอไรเซชันของปฏกิ ิรยิ าต่อไปนี้

1.1 n CH2=CH CH3 ( CH2 CH) n

ประเภทพอลิเมอร์ โฮโมพอลเิ มอร์ CH3

ประเภทปฏกิ ิรยิ า พอลิเมอไรเซชันแบบเติม

1.2 n CH2=CH COOCH3 ( CH2 CH ) n

ประเภทพอลิเมอร์ โฮโมพอลิเมอร์ COOCH3

ประเภทปฏิกิรยิ า พอลเิ มอไรเซชนั แบบเติม

OO

1.3 n NH2(CH2)6NH2 + n HOOC(CH2)4COOH ( NH(CH2)6NHC(CH2)4C)n + 2nH2O

ประเภทพอลเิ มอร์ โคพอลิเมอร์ ประเภทปฏิกริ ยิ า พอลเิ มอไรเซชนั แบบ

ควบแนน่

1.4 n H2N(CH2)10COOH ( NH(CH2)10CO )n + nH2O

ประเภทพอลิเมอร์ โฮโมพอลเิ มอร์ ประเภทปฏิกริ ิยา พอลเิ มอไรเซชันแบบ

ควบแนน่

1.5 n CH2=CH-CCl=CH2 + n CH2=CH-CH3 (CH2-CH=CCl-CH2-CH2-CH2-CH2) n

ประเภทพอลิเมอร์โคพอลิเมอร์ ประเภทปฏิกริ ยิ า พอลิเมอไรเซชนั แบบเตมิ

2. จงเขียนสูตรมอนอเมอร์และประเภทของพอลิเมอร์จากพอลิเมอรต์ ่อไปน้ี

พอลเิ มอร์ มอนอเมอร์ ประเภทพอลิเมอร์
โฮโมพอลิเมอร์
2.1 CH3
C=CH2
CH3 CH3 COOCH3
–(-C– CH2 – C– CH2–)–

CO2CH3 CO2CH3

พอลเิ มอร์ มอนอเมอร์ ประเภทพอลิเมอร์
H2N-CO-NH2 และ CH2O โคพอลเิ มอร์
2.2 –(HN–CO–NH–CH2–)n
2.3 CH2=CHCl โฮโมพอลิเมอร์

Cl Cl CH2=CH-CH=CH2 โฮโมพอลเิ มอร์
(CH2– CH– CH2 – CH ) HOOC-(CH2)4-COOH และ โคพอลเิ มอร์
2.4 (CH2–CH=CH – CH2 )n
2.5 (OC(CH2)4–COOCH2CH2O)n HO-CH2-CH2-OH

3. จงยกตัวอย่างพอลิเมอร์ธรรมชาติท่ีพบในชีวิตประจาวัน ทั้งที่เป็นโฮโมพอลิเมอร์ และโคพอลิ
เมอร์
ตอบ พอลิเมอร์ธรรมชาติที่เป็นโฮโมพอลิเมอร์ ได้แก่ แป้ง เซลลูโลส ซ่ึงมีกลูโคสเป็นมอนอ
เมอร์ ยางธรรมชาตซิ ึง่ มไี อโซพรีนเปน็ มอนอเมอร์ สว่ นโคพอลเิ มอร์ ได้แก่ โปรตีน ขนสัตว์ และ
ไหม ซึง่ มกี รดอะมโิ นหลายชนดิ เปน็ มอนอเมอร์
4. จงเปรยี บเทยี บปฏิกิรยิ าพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่นและแบบเติม
ตอบ ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่นเป็นปฏิกิริยาท่ีเกิดการรวมตัวของมอนอเมอร์ท่ีมีหมู่
ฟังกช์ ันมากกว่า 1 หมู่ ไดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ป็นพอลิเมอรแ์ ละมีสารโมเลกุลเล็กเกิดขึ้นด้วยเสมอ อาจเป็น
น้า แอมโมเนีย ไฮโดรเจนคลอไรด์ หรืออื่น ๆ ส่วนปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันแบบเติม เป็น
ปฏิกิริยาท่ีเกิดการรวมตัวของมอนอเมอร์ที่มีพันธะคู่ระหว่างคาร์บอนกับคาร์บอนในโมเลกุล
ผลิตภัณฑ์ที่ได้เป็นพอลิเมอร์เพียงอย่างเดียว ไม่มีสารโมเลกุลเล็กเกิดขึ้น เน่ืองจากเป็นการ
เกิดปฏิกิริยาการเติมที่ตาแหน่งพันธะคู่ พอลิเมอร์ท่ีเกิดข้ึนโดยท่ัวไปมักจะมีโครงสร้างเป็นแบบ
เสน้ การเกิดปฏิกริ ิยาส่วนใหญ่ต้องใช้อณุ หภูมิและความดนั สงู


แบบฝกึ หัด หนา้ 163

1. จงเขยี นสมการแสดงปฏกิ ริ ยิ าการสงั เคราะหพ์ ลาสติกต่อไปน้ี
1.1. พอลไิ วนลิ คลอไรด์

n CH2 =CHCl ( CH2 CHCl )
n
1.2 พอลิเตตระฟลอู อโรเอทลิ นี (เทฟลอ่ น)

n CF2=CF2 ( CF2 CF2 )n

1.3 อะครไิ ลไนไตรดบ์ วิ ทาไดอีนสไตรนี โคพอลเิ มอร์

–(–CH2-CHCN-CH2-CH=CH-CH2-CH2- CH-C6H5–)–

n CH2=CH + n CH2=CH CH=CH2 + n CH=CH2 (CH2 CH CH2 CH=CH CH2 CH2 CH)n

CN CN

2. พลาสติกชนิดใดใชท้ าผลติ ภัณฑท์ ี่กาหนดใหแ้ ละอธิบายสมบัตขิ องพลาสติกชนิดนัน้ ๆ
2.1 พลาสตกิ ทใ่ี ชท้ าถุงบรรจุขนมปงั อาหารแช่แข็ง

ตอบ LDPE มีสมบตั ิ ใส เหนยี ว ป้องกนั การผา่ นของน้าไดด้ ี มคี วามยดื หยนุ่ มาก
2.2 พลาสติกทใ่ี ชท้ าขวดใสน่ ม ถงุ ใสอ่ าหารและของเด็ก

ตอบ HDPE มสี มบัติ ป้องกนั การผ่านของนา้ และนา้ มนั ไดด้ ี ทนต่อกรด เบสและสารเคมี
2.3 พลาสตกิ ที่ใช้ทากล่องวดี ีทศั น์ ถาดอาหาร

ตอบ PS มสี มบตั ิ แข็ง เปราะ ทนต่อกรดและด่างอ่อน
2.4 พลาสติกที่ใช้ทาเลนสแ์ ว่นกนั แดด หมวกกนั นอ็ ก ตูเ้ คร่อื งปรับอากาศ

ตอบ PS มสี มบตั ิ แข็งแรง ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ กรด เบสไดด้ ี
2.5 พลาสติกทีใ่ ชท้ าขวดน้ามันพืช ขวดน้าอดั ลม ขวดน้ายาบว้ นปาก

ตอบ PET มสี มบัติ เหนยี ว ทนต่อการกระแทกและสารเคมี เบา กันซมึ นา้ มันและออกซิเจน
3. จงบอกข้อดีของเทอรม์ อพลาสตกิ มา 3 ประการ

3.1 อ่อนตวั เม่ือได้รับความรอ้ น แข็งตัวเมอื่ อณุ หภมู ลิ ดลง
3.2 สามารถเปล่ียนแปลงรูปรา่ งได้
3.3 นากลบั มาใช้ใหม่ได้
4. จงยกตวั อยา่ งพลาสติกทนี่ ามารีไซเคิลได้มา 3 ชนิด และเพราะเหตุใดจงึ รีไซเคลิ ได้
ตอบ พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีน เพราะมีสมบัติอ่อนตัวเม่ือได้รับความร้อนและ
แข็งตวั เมื่ออณุ หภมู ลิ ดลงโดยสมบัตไิ ม่เปลีย่ นแปลง จึงสามารถนากลับมาหลอมและข้นึ รปู ใหมไ่ ด้
5. เพราะเหตุใดพลาสติกเทอร์มอเซตจงึ แขง็ แรงและทนความร้อนได้สูงมาก
ตอบ เพราะเป็นพลาสติกท่ีขึ้นรูปโดยการผ่านความร้อนและแรงดัน มีการเช่ือมต่อระหว่างโซ่
โมเลกลุ เป็นรา่ งแห จึงมีความแขง็ แรงมากทนความร้อนและความดันได้ดี
6. ถา้ ไวนลิ คลอไรด์ (CH2=CHCl) เกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันกบั ไดคลอโรเอทิลนี (CH2=CCl2)
สูตรทั่วไปของพอลเิ มอร์จะเปน็ อยา่ งไร
ตอบ พอลิเมอร์ทีเ่ กิดข้ึนมสี ูตรทั่วไปคอื ( CH2 CHCl CH2 CCl2)n

7. พอลเิ มอร์ท่มี โี ครงสรา้ งดังต่อไปนี้ B.
A

C D.

7.1 พอลเิ มอรใ์ ดควรมคี วามหนาแนน่ มากทสี่ ุด
ตอบ พอลิเมอร์ที่มีความหนาแน่นมากที่สุด คือ ชนิด A เพราะมีโครงสร้างแบบเส้นทาให้สายโซ่
พอลเิ มอรส์ ามารถเรียงตัวชิดกันได้มาก

7.2 พอลเิ มอร์ใดควรมคี วามยดื หยนุ่ ได้ และพอลิเมอร์ใดควรจะมีจุดหลอมเหลวสูงท่ีสุด อธิบาย
เหตุผลประกอบ
ตอบ พอลิเมอรท์ มี่ คี วามยดื หย่นุ ได้ คอื B C และ D

พอลิเมอร์ชนิด B มีพันธะเชื่อมโยงระหว่างโซ่พอลิเมอร์หลัก เม่ือออกแรงดึงพอลิเมอร์จะ
ยืดออก เมื่อปล่อยโซ่พอลิเมอร์หลักจะหดกลับมาดังเดิม แต่ถ้าจานวนพันธะระหว่างโซ่มีมาก
ความยืดหยุน่ ไดข้ องพอลิเมอร์จะลดลงและมีความแข็งเพ่ิมขึ้น ตัวอย่าง พอลิเมอร์โครงสร้างแบบนี้
ไดแ้ ก่ ยางท่ีผา่ นการวัลคาไนเซชนั

พอลิเมอร์ชนิด C มีความยืดหยุ่นได้ เนื่องจากโซ่พอลิเมอร์มีโซ่ก่ิงยาวระเกะระกะ
โซ่พอลิเมอร์จึงอยู่ห่างกัน เม่ือออกแรงดึงพอลิเมอร์จะยืดออกและหดกลับได้เม่ือปล่อยแรง แต่
ขนาดไมเ่ ท่าเดมิ ตัวอย่างพอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบนี้ ได้แก่ พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่า
( LDPE )

พอลิเมอร์ชนิด D มีความยืดหยุ่น แต่น้อยกว่า C เนื่องจากโซ่พอลิเมอร์มีโซ่กิ่งส้ัน จึงมี
ความเป็นระเบียบมากกว่า ทาให้โซ่พอลิเมอร์หลักเรียงชิดกันได้ดีกว่าแบบ ตัวอย่างพอลิเมอร์
ท่ีมีโครงสร้างแบบนี้ได้แก่ พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่าเชิงเส้น (Linear Low Density
Polyethylene : LLDPE)

พอลิเมอร์ท่ีควรมีจุดหลอมเหลวสูงท่ีสุด คือ B เพราะมีโครงสร้างแบบร่างแห มีพันธะ
เชื่อมโยงระหวา่ งโซพ่ อลเิ มอรห์ ลกั ยึดพอลิเมอร์ไม่ให้ไหลเล่ือนจากกันเม่ือได้รับความร้อนสูง ถ้ามี
จานวนพันธะเชอ่ื มโยงมาก จดุ หลอมเหลวจะย่ิงสงู มาก

7.3 ถา้ พิจารณาพอลเิ มอร์ A C และ D พอลิเมอรใ์ ดควรมีความหนาแน่นน้อยที่สุด และพอลิเมอร์
ใดควรมคี วามขุ่นมากที่สุด
ตอบ พอลิเมอร์ทม่ี คี วามหนาแนน่ น้อยสุด คือ ชนิด C เพราะโครงสร้างท่ีไม่สามารถเรียงตัวชิดกัน
เน่ืองจากโซ่พอลิเมอร์มีกิ่งก้านสาขาท่ีมีขนาดยาว ส่วนพอลิเมอร์ท่ีขุ่นท่ีสุด คือ ชนิด A เพราะสาย
โซ่พอลิเมอร์สามารถเรียงชดิ กันได้มากท่ีสุด
8. โครงสร้างของพอลิเมอร์ตอ่ ไปนี้ มผี ลต่อความแขง็ แรงและความยืดหยุ่นของพอลิเมอร์อย่างไร

8.1 โซพ่ อลเิ มอรท์ มี่ ีก่ิงมากแต่เป็นโซก่ ่งิ ส้ัน
ตอบ โซ่พอลเิ มอรม์ มี ากแตเ่ ปน็ โซก่ งิ่ สนั้ จะเป็นพอลเิ มอรท์ ี่มีความเหนียวและยืดหยนุ่ ได้

8.2 พอลิเมอร์ทม่ี ีพนั ธะเชอื่ มโยงระหวา่ งสายโซ่มาก
ตอบ พอลิเมอร์ที่มีพันธะเชื่อมโยงระหว่างสายโซ่มาก จะทาให้พอลิเมอร์มีความแข็ง เปราะ และ
ไมย่ ืดหย่นุ



แบบฝกึ หัด หน้า 170
1. จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาการสังเคราะห์เส้นใย ต่อไปนี้ และระบุว่าเป็นพอลิเอสเทอร์หรือ
พอลิเอไมด์

OO OO

1.1 n HOC COH + n HOCH2CH2OH ( C COCH2CH2O ) n + 2n H2O

เปน็ พอลิเอสเทอร์

1.2 n NH2(CH2)6NH2 + n HOOC(CH2)4COOH ( NH(CH2)6NHCO(CH2)4CO)n + 2n H2O

เป็น พอลเิ อไมด์

1.3 n NH2(CH2)5COOH ( NH(CH2)5CO)n + n H2O

เปน็ พอลิเอไมด์

1.4 n NH2(CH2)6NH2 + n ClOC(CH2)6COCl ( NH(CH2)6NHCO(CH2)6CO) n + 2nHCl

เปน็ พอลิเอไมด์

2. พอลิเมอรท์ จี่ ะนามาทาเปน็ เส้นใยควรมโี ครงสร้างอย่างไร

ตอบ เป็นพอลิเมอรท์ ่ีมคี วามยาวอย่างน้อยเป็น 100 เทา่ ของเส้นผ่านศูนย์กลาง เหมาะสมตอ่ การรีด

และป่ันเป็นเสน้ ด้าย

3.จงยกตวั อย่างผลิตภัณฑ์ส่ิงทอท่ีผลติ จากเสน้ ใยธรรมชาติ

ตอบ เส้นใยธรรมชาติท่ีนามาผลิตส่ิงทอจาแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่ เส้นใยเซลลูโลส(จากพืช)

และเส้นใยโปรตีน(จากสัตว์) ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ผลิตจากเส้นใยเซลลูโลส เช่น ผ้าลินิน ผ้าฝ้าย

ส่วนผลิตภณั ฑส์ ่ิงทอทผี่ ลิตจากเสน้ ใยโปรตีน เชน่ ผา้ ไหม ผ้าขนสตั ว์

4. จงเปรียบเทียบข้อดแี ละขอ้ เสียของเสน้ ใยธรรมชาตแิ ละเส้นใยสงั เคราะห์

ชนดิ ของเสน้ ใย ขอ้ ดี ขอ้ เสีย

ดดู ซับนา้ ได้ดี ทนสารเคมี เส้นใย เมื่อเปยี กน้าแห้งชา้ เปน็ รางา่ ย หด

เสน้ ใยธรรมชาติ แขง็ แรง สวมใส่เยน็ สบาย ตวั มาก ยบั ง่าย เส้นใยกรอบ

เสอ่ื มสภาพเมือ่ ถูกแดดจดั

น้าหนกั เบา เก็บความร้อนได้ดี เกดิ ไฟฟา้ สถติ ได้ง่าย เม่ือสวมใส่จึง

ส่วนใหญ่ดูดซับน้าได้ ทนทาน ทาให้ผา้ ติดตัว ใสแ่ ล้วร้อน

เสน้ ใยสังเคราะห์ ตอ่ จุลนิ ทรยี ์ เช้ือรา แบคทเี รยี ทน

ต่อสารเคมี ซกั งา่ ย แห้งเร็ว ไมย่ บั

ง่าย



แบบฝึกหัด หนา้ 177

1. จงเติมสตู รสารผลิตภณั ฑป์ ฏกิ ิรยิ าการสงั เคราะห์ยางไนไตรด์จากบวิ ทาไดอนี และอะคริโลไนไตรด์

n CH2=CH CH=CH2 + n CH2=CH ( CH2 CH=CH CH2 CH2 CH )

n

CN CN

2. จงอธิบายวธิ กี ารปรบั ปรงุ คณุ ภาพของยางธรรมชาติให้เหมาะสมสาหรบั ทายางรถยนต์

ตอบ การปรับปรุงคุณภาพของยาง ทาได้โดยการเติมกามะถันในปริมาณท่ีเหมาะสมและให้ความ

ร้อนสูงกวา่ จดุ หลอมเหลวของกามะถัน ทาใหย้ างมีสภาพยืดหยุ่นและคงตัวในอุณหภูมิต่างๆ ทน

ต่อความร้อนและแสงแดด และละลายในตัวทาละลายยากข้ึน เรียกกระบวนการนี้ว่า

กระบวนการวัลคาไนเซชัน การเติมซิลิกา ซิลิเกต และผงถ่านจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของยาง

นอกจากน้ีผงถ่านจะช่วยป้องกันการสึกกร่อนและทนต่อแสงแดดท่ีจะทาลายโครงสร้างของ

พอลิเมอร์ในเน้อื ยางได้

3. ปรมิ าณกามะถันทใี่ ชใ้ นปฏกิ ริ ิยาวลั คาไนเซชนั มผี ลต่อสมบัตขิ องยางหรอื ไมอ่ ย่างไร
ตอบ การเติมกามะถันในปฏิกิริยาวัลคาไนเซชัน ต้องเติมในปริมาณท่ีเหมาะสม ทาให้กามะถัน
สร้างพันธะโคเวเลนต์เชื่อมระหว่างโซ่พอลิไอโซพรีนในตาแหน่งท่ีเหมาะสม มีผลให้ยางท่ีได้มี
คุณภาพดี คือ มีความยืดหยุ่นดี มีความคงตัวสูง ทนต่อความร้อน แสงแดด ถ้าเติมมากหรือน้อย
เกินไป ยางทีไ่ ดจ้ ะมีคุณภาพลดลง โดยทว่ั ไปจะเติมกามะถนั ในปรมิ าณร้อยละ 3 โดยมวล
4. จงอธิบายวธิ ีการทายางแผ่นจากนา้ ยางธรรมชาติ
ตอบ การทายางแผ่นจากน้ายางธรรมชาติ ทาได้โดยนาน้ายางท่ีได้จากต้นยางมาเติมสารละลาย
แอมโมเนีย เพื่อป้องกันการบูดและการจับตัวเป็นก้อน แล้วจึงเติมกรดแอซิติกหรือกรดฟอร์มิก
เจอื จางลงไป เพอื่ ทาใหเ้ นื้อยางรวมตัวเปน็ ก้อนตกตะกอนแยกออกมา จากน้ันนาตะกอนท่ีได้ไปรีด
น้าออกและทาใหเ้ ป็นแผ่น แล้วจึงนาไปตากแห้งจะได้แผ่นยางดบิ ทีน่ ามาใช้ประโยชนต์ อ่ ไป



แบบฝึกหดั หน้า 181

1. จงนาตวั เลขหน้าคาทางซา้ ยมอื ไปใสห่ น้าข้อความทางขวามอื ท่มี ีความสัมพนั ธก์ ัน

1. ไฮโดรคาร์บอน 4 ก. เกิดจากการถลุงแรบ่ างชนดิ เช่น แร่ทองแดง แรต่ ะกวั่

2.ไนโตรเจนไดออกไซด์ 9 ข. รวมตัวกับฮีโมโกลบินไดด้ กี ว่าออกซิเจน

3.ไฮโดรคาร์บอนไม่อิม่ ตัว 5 ค. ละลายนา้ ได้กรดซัลฟวิ รกิ

4. ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ 2 ง. ปฏิกริ ยิ ากบั ออกซเิ จนและไฮโดรคาร์บอนได้ PAN

5. ซลั เฟอร์ไตรออกไซด์ 6 จ. ทาลายโอโซนในช้ันบรรยากาศ

6. คลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน 3 ฉ.รวมตวั กบั ออกซิเจนหรือโอโซนไดแ้ อลดไี ฮด์

7. ไนโตรเจนมอนอกไซด์ 8 ช. เกิดจากการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ของเช้ือเพลิง

ฟอสซลิ

8. คารบ์ อนไดออกไซด์ 7 ซ. เป็นแก๊สไม่มีสีทาปฏิกิริยากับออกซิเจนได้แก๊สสี

น้าตาลแดง

9. คารบ์ อนมอนอกไซด์ 1 ฌ. สารอนิ ทรยี ์ติดไฟง่าย หลายชนดิ เป็นเชอื้ เพลิง

10.แก๊สมเี ทน 10 ญ เปน็ แกส๊ ชนิดหน่งึ ทท่ี าใหเ้ กิดภาวะเรือนกระจก

2. จงเปรยี บเทยี บข้อดขี อ้ เสียของการกาจัดพลาสติกโดยวธิ ีตา่ ง ๆ

วิธกี าร ขอ้ ดี ขอ้ เสีย
1. การเผา
รวดเร็ว กาจัดได้ปรมิ าณมาก เกิดแก๊สพิษทาให้เกิดมลพิษ
2. การฝัง
ทางอากาศ
3. การถมท่ีชายฝั่ง
ทาได้ง่าย กาจัดได้ปริมาณมาก เกิดมลภาวะทางดิน ดินขาด
4. การนาไปหลอมกลับมา
ใชใ้ หม่ ไมเ่ กดิ มลพิษทางอากาศ ความพรุน การระบายน้า

5. การเติมสารทท่ี าให้พลาสตกิ อากาศไม่ดที าให้ดินเสีย
ย่อยสลายได้ง่ายขึ้น
ป้องกันชาย ฝั่ง มีพ้ืนที่ใช้ ทาใหเ้ กดิ มลภาวะทางดิน

ประโยชนเ์ พิม่ มากข้ึน

ลดต้นทุนในการผลิต ช่วยลด คณุ ภาพพลาสตกิ ทีไ่ ดล้ ดต่าลง

ปญั หาขยะ ลดภาวะมลพิษ

พลาสติกย่อยสลายได้ เป็นการ ตอ้ งใชค้ วามรูร้ ะดับสงู

ลดปญั หาภาวะมลพิษ ต้นทนุ การผลติ สงู

3. จงอธิบายความสัมพันธ์ของคา่ BOD COD และ DO ของแหล่งน้าเดียวกันพร้อมท้ังให้เหตุผล
ประกอบ
ตอบ BOD COD และ DO เป็นค่าท่ีใช้บอกคุณภาพน้า โดยค่า DO คือ ปริมาณออกซิเจนที่
ละลายในน้า ค่า BOD คอื ปริมาณออกซเิ จนท่ีจลุ ินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้า ส่วน
ค่า COD คือ ปริมาณออกซิเจนท่ีสารเคมีใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ โดยทั่วไป น้าจากแหล่ง
เดียวกันจะมีค่า COD สูงกว่า BOD เน่ืองจากสารอินทรีย์ในน้าบางส่วนจุลินทรีย์ไม่สามารถย่อย
สลายได้ ปริมาณออกซิเจนท่ีใช้ในการย่อยสลายของจุลินทรีย์จึงน้อยกว่าปริมาณออกซิเจนที่ใช้ใน
การสลายสารอินทรีย์ท้ังหมดในน้าทางเคมี กรณีที่แหล่งน้าเป็นน้าดี จะต้องมีออกซิเจนในน้ามาก
พอสาหรบั การดารงชีวิตของสัตวน์ า้ ค่า DO ตอ้ งมคี ่าไม่น้อยกว่า 3 mg/l มีปริมาณสารอินทรีย์ท่ีมี
ในน้าน้อย คา่ BOD ต้องไม่เกิน 100 mg/l
4. ถ้าแหล่งน้า เช่น คลอง ในชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่เกิดปัญหาน้าเน่าเสีย นักเรียนคิดว่าเกิดจาก
สาเหตุใด และในฐานะทีเ่ ป็นนักเรยี น นักเรยี นมีวิธีการแก้ไขปญั หา นีไ้ ด้อยา่ งไร
ตอบ สาเหตุการเน่าเสียของแหล่งน้าในชุมชนอาจมาจากหลายสาเหตุ คือ เกิดจากการปล่อยน้าท้ิง
จากบ้านเรอื นลงในแหลง่ น้า การทง้ิ ขยะมลู ฝอยลงในแหลง่ น้า ทาใหน้ า้ เน่าเสยี ขยะทเี่ ป็นพลาสติก
หรอื วัตถทุ ีไ่ ม่ยอ่ ยสลาย ทาให้เกิดการอุดตนั การไหลเวยี นของน้าไม่ดี ทาให้ยิ่งเกิดการเน่าเสียมาก
ขน้ึ หรือน้าเสียอาจมาจากแหล่งชุมชนใกลเ้ คียง โรงงานอุตสาหกรรม ทีอ่ ยู่ทางตน้ น้า

ในฐานะที่เป็นนักเรียน ดาเนินการแก้ไขปัญหา ดังน้ี ปรึกษาบิดามารดา และผู้ใหญ่ใน
บ้านถึงปัญหาท่ีเกิดข้ึนว่ามีสาเหตุจากอะไร หาแนวทางแก้ปัญหา จากน้ันร่วมกับผู้ใหญ่ติดต่อ
ประสานงานกับผู้นาชุมชุน สมาชิกชุมชนเพ่ือหาแนวทางแก้ไข ดาเนินการแก้ไข เช่น ติดต่อ
หน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าที่ดูแล ระดมคนในชุมชนช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ช่วยกันเก็บขยะ
ในแหล่งน้า ขุดลอกบริเวณที่อุดตัน ใช้น้าจุลินทรีย์ (EM) เติมในแหล่งน้าเพื่อช่วยการย่อยสลาย
สารอินทรีย์ สารวจแหล่งโรงงานอตุ สาหกรรมในบริเวณใกล้เคียงว่าเป็นสาเหตุหรือไม่แล้วให้ผู้นา
ชมุ ชนดาเนนิ การ

การแกไ้ ขปัญหาในระยะยาวใหค้ วามรว่ มมือกับผนู้ าชมุ ชนในการรณรงค์ให้ความรู้เก่ียวกับ
การเกดิ ภาวะมลพิษ สาเหตุ ผลกระทบท่ีเกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข รณรงค์ให้ทุกบ้านมีการบาบัด
น้าทง้ิ จากบา้ นเรือนกอ่ นปลอ่ ยลงแหลง่ น้า รณรงค์การทิ้งขยะให้เป็นท่ีเป็นทางและคัดแยกขยะ ใน
สว่ นตัวของนักเรียนเองจะปฏบิ ัตติ นใหเ้ ปน็ ตัวอยา่ งในการแกป้ ัญหาทกุ ด้านท่สี ามารถทาได้



[Update] เคมีอินทรีย์-Flip eBook Pages 1 – 50 | ไซโค ล เฮ ก เซน – Australia.xemloibaihat

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 11 เคมอี ินทรีย์

แบบฝึกหดั หน้า 8

1. จงเขียนสูตรโครงสรา้ งลิวอิส แบบย่อ และแบบเส้นและมมุ ของสารประกอบตอ่ ไปน้ี

สตู รโครงสร้างลิวอสิ สตู รโครงสร้างแบบยอ่ , เสน้ และมมุ

1.

HHHHH (CH3)2CHCH2CH=CH2

HCCCCCH

HH

HCH

H CH3 CH2O CH2 CH3

2.

HH HH

HCCOCCH O
(CH3)3C(CH2)4CH3
HH HH

3.

H

HCH

H HHHHH

HCCCCCCCH

H HHHHH

HCH

H CH3(CH2)3NH(CH2)2CH=CH2

4.

HHHHHHHHH

HCCCCNCCCCH N

HHHH HH (CH3)2CH CH2CO CH2CH(CH3)2
H
5. O

H

HCH HCH

H HOH H

HCCCCCCCH

HHH HHH

สตู รโครงสร้างลวิ อสิ สตู รโครงสรา้ งแบบยอ่ , เสน้ และมมุ

6. CH3 CH2C(CH3)2CH(CH3) CH2CH=CH2

HH CH(CH3)2

HCHHCH O
C
H HHH O

HCC CCCCH H3C
COOH
H HH
O
HCH OH
CH2CH3
HCH OH
OH
H

7. H
C
H C H H
C H H
C C C H
H H
H C
H
H

8. H H H H
C C C C
H O H
C C C C C

CC CC
H HH H

9.

HH H
H CCCCH

CCO
HCC

H OH

10. H HH
CC C
H H H H
C C
H CC HH H
HO

2. จงเขยี นสตู รโครงสรา้ งแบบผสม และแบบเสน้ และมุม จากสตู รโครงสร้างอยา่ งย่อต่อไปนี้

แบบย่อ แบบผสม แบบเส้นและมุม
1.(CH3)3C(CH2)3 CH3 O
2.(CH3)4C CH3
CH3-C-CH2-CH2-CH2-CH3
3.CH3(CH2)2COCH2CH3
CH3
CH3
CH3 – C – CH3
CH3

O
CH3-CH2-CH2-C-CH2-CH3

4.(CH3)3C CH2CC(CH2)2 CH3 CH3 O
5. COOCH2C(CH3)3 CH3-C-CH2-CC-CH2-CH2-CH3 O
6.CH3CH2C(CH3)2 CH2CONH2
CH3 O
CH2 CH2 O CH3 NH2
CH2 CH-C-O-CH2-C-CH3

CH3

CH3 O
CH3-CH2-C-CH2-C-NH2

CH3

7. OH OH
CH3CH=C(CH2CH3)CH(OH)CH2Br Br
CH3 –CH=C-CH-CH2Br
CH2- CH3

8. HC HC C OH OH
OH HC CH C COOH OH
COOH
O

แบบยอ่ แบบผสม แบบเส้นและมุม
9.
HH2C2C O CH CH2 CH3 O
O CH2CH3 CH2
HC CH2CH COO-CH2-CH3 O
10. HC HC2 CH2 O
COOCH2CH3

แบบฝกึ หดั หน้า 20
1. จงเขียนไอโซเมอรท์ งั้ หมดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทม่ี คี าร์บอน 6 อะตอม เกาะกนั ด้วย
พันธะเดี่ยวทงั้ หมด

1.1 โซ่ตรง มี 1 ไอโซเมอร์

1.2 โซ่กงิ่ มี 4 ไอโซเมอร์

1.3 โซป่ ดิ (แบบวง) มี 12 ไอโซเมอร์

1.4 สตู รโครงสรา้ งในข้อ 1.1 1.2 และ 1.3 เปน็ ไอโซเมอรก์ นั ทง้ั หมดหรอื ไม่
ตอบ ไมท่ ัง้ หมด 1.1 และ 1.2 เป็นไอโซเมอร์กัน เพราะมีสตู รโมเลกลุ เหมอื นกัน คอื C6H14
สว่ น 1.3 ไม่เปน็ ไอโซเมอรก์ ับ 1.1 และ 1.2 เพราะมีสูตรโมเลกุลตา่ งกัน คอื C6H12
2. จงเขียนไอโซเมอรท์ ั้งหมดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่มี ีคารบ์ อน 6 อะตอม เกาะกนั ดว้ ย
พันธะคู่ 1 ตาแหนง่ และมีโครงสร้างเป็นโซเ่ ปิด

2.1 โซ่ตรง มี 3 ไอโซเมอร์

2.2 โซก่ ิ่ง มี 10 ไอโซเมอร์

รวมทัง้ หมด 13 ไอโซเมอร์

3. สารคูใ่ ดเปน็ ไอโซเมอรก์ ัน ใส่เคร่ืองหมาย หนา้ ข้อท่ีเปน็ ไอโซเมอร์ เคร่ืองหมาย  หนา้ ข้อ

ทไี่ มเ่ ป็นไอโซเมอร์

 1. CH3 -C  C-C=C=CH2 , -CH3
CH3
, CH3 -CH2-CH-CH3
 2. CH3 -CH2-CH- CH2-CH3 CH2-CH3
CH3

 3. -CH2- , -CH2-CH3

 4. , CH3 CH2CH=C CH2 CH3
 5. CH3 O CH3 CH3

, CH3 CH2 COOH

 6. ,
 7. CH3 CH=CH(CH2)2C(CH3)3 , (CH3)3C(CH2)2CH=CH CH3

 8. CH3 CH2 CO(CH2)2 CH3 O
 9. CH3(CH2)3CHO
 10. CH3COOH ,
, (CH3 CH2)2CO
CH3 CH2 , HCOO CH3
CH CH3
CH3 CH2 CH CH2 CH3
 11. CH3 CH2
, CH3
 12. CH3 CH=CH CH3
CH2=CH
CH3 CH3
, CH2 CH3
 13. CH3 CH CH2 CH2
CH3 CH2 CH2 CH3
 14. CH3 CH2 CH = CH CH2 CH3
, CH2 CH2
 15. (CH3)3N
, CH3(CH2)3CH = CH2

, CH3NH CH2 CH3



แบบฝึกหัด หนา้ 27
1. ใหร้ ะบุวา่ สารประกอบต่อไปนี้เป็นสารประกอบประเภทใด มีหมูฟ่ งั กช์ นั ช่อื อะไร

สูตรโครงสร้าง ประเภทสารประกอบ หมู่ฟงั กช์ ัน
CH3CH=C(CH3)2 แอลคีน พนั ธะคู่
CH3CH2CHNH2 เอมนี อะมิโน
อเี ทอร์ ออกซี
CH3
กรดคาร์บอกซลิ กิ คาร์บอกซิล
O CH3
คโี ตน คาร์บอนิล
COOH กรดคารบ์ อกซิลิก คารบ์ อกซลิ

CH3
CH3CH2COCH3

O

OH

CH3CH2CH2CH(CH2)2CH3 แอลกอฮอล์ ไฮดรอกซลิ
OH
O เอสเทอร์ แอลคอกซีคารบ์ อนิล
เอไมด์ เอไมด์
CH3 -CH2-C-O-CH3

CH3 CH2CONH2

แอลไคน์ พนั ธะสาม



แบบฝึกหัด หน้า 35

1. จงเขียนสมการแสดงการเผาไหม้อย่างสมบรู ณ์ของสารตอ่ ไปน้ี

1.1 2C6H14 + 19O2 12CO2 + 14H2O
1.2 C3H8 + 5O2 3CO2 + 4H2O
1.3 C3H4 + 4O2 3CO2 + 2H2O
1.4 2C6H6 + 15O2 12CO2 + 6H2O
1.5 2 C5H10 + 15O2 10CO2 + 10 H2O

2. จากขอ้ 1 ถา้ ใช้สารดงั กล่าวอย่างละ 0.5 โมล จะตอ้ งใช้ O2 กี่โมล จึงจะเกดิ ปฏิกิริยาเผาไหม้
อย่างสมบรู ณ์

2.1 C6H14 ใช้ O2 4.75 โมล
2.2 C3H8 ใช้ O2 2.50 โมล
2.3 C3H4 ใช้ O2 2.00 โมล
2.4 C6H6 ใช้ O2 3.75 โมล
2.5 C5H10 ใช้ O2 3.75 โมล
3. จากสูตรโครงสร้างตอ่ ไปนี้ จงเรยี งลาดับปริมาณของเขม่าที่เกดิ ขนึ้ จากมากไปหาน้อย เม่ือนาไป

เผาในสภาวะปกติ

ก. CH3-CH=CH-CH2-CH3 ข. CH3-C C-CH2-CH3
ค.

ตอบ ค > ข > ก

4. จงทานายว่าสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนจานวน 1 โมล แตล่ ะคตู่ ่อไปน้ีชนิดใดเผาไหมแ้ ลว้ ให้

เขม่ามากกว่ากนั

ก. C3H8 กับ C3H6 ตอบ C3H6

ข. C6H5- CH3 กบั C6H14 ตอบ C6H5- CH3

ค. C4H10 กบั C5H10 ตอบ C5H10

ง. C6H6 กบั C6H10 ตอบ C6H6

5. กาหนดตารางแสดงสมบตั ิของสาร A B C และ D ดังต่อไปนี้

สาร สมบตั ิ

การละลายนา้ การเผาไหม้

A ละลาย ไม่หลอมเหลว ไมต่ ิดไฟ

B ไม่ละลาย ตดิ ไฟ มีเขม่า

C ละลาย หลอมเหลว ไมต่ ิดไฟ

D ไม่ละลาย ตดิ ไฟ ไม่มีควันและเขม่า

ก. สารชนิดใดเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน เพราะเหตุใด

ตอบ สาร B และ D เพราะไม่ละลายนา้ และสามารถติดไฟได้

ข. สารชนิดใดทาปฏกิ ิรยิ ากับสารละลายโบรมีนในทสี่ ว่าง และสารละลายโพแทสเซียม

เปอร์มงั กาเนตได้

ตอบ สาร B


แบบฝึกหดั หน้า 43

1. ตารางแสดงสมบตั บิ างประการของแอลเคนชนิดโซ่ตรง

จานวนอะตอม แอลเคน จดุ หลอมเหลว จดุ เดือด

คารบ์ อนในโมเลกลุ ช่ือ สูตรโครงสร้าง (๐C) ( ๐C)

1 มีเทน(methane) CH4 -182.0 -164.0

2 อเี ทน(ethane) C2H6 -183.3 -88.6

3 โพรเพน(peopane) C3H8 -189.7 -42.1

4 บวิ เทน(butane) C4H10 -138.4 -0.5

5 เพนเทน(pentane) C5H12 -130.0 36.1

6 เฮกเซน(hexane) C6H14 -95.0 69.0

7 เฮปเทน(heptane) C7H16 -90.6 98.4

8 ออกเทน(octane) C8H18 -56.8 125.7

ก. จุดเดือดของแอลเคนมีความสมั พันธ์กบั จานวนอะตอมของคารบ์ อนหรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ สัมพันธก์ นั คอื จานวนอะตอมคาร์บอนเพม่ิ ขนึ้ จดุ เดอื ดสูงข้ึน

ข. ทอี่ ณุ หภมู ิห้องแอลเคนชนิดใดมสี ถานะเปน็ แก๊ส และชนิดใดมสี ถานะเป็นของเหลว

ตอบ แอลเคนที่เป็นแก๊ส ได้แก่ มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน แอลเคนท่ีเป็นของเหลว ได้แก่

เพนเทน เฮกเซน เฮปเทน ออกเทน

ค. จงเขียนกราฟแสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างจดุ เดอื ดกบั จานวนอะตอมของคาร์บอนใน
แอลเคน

กราฟแสดงความสมั พันธ์ระหว่างจดุ ดอื ด
กบั จานวนอะตอมของคารบ์ อนในแอลแคน

จุดเดือด 150 1 2 3 45 6 7 8 จดุ เดอื ด (องศา
100 จานวนอะตอมของคาร์บอน เซลเซียส)

50
0

-50
-100
-150
-200

ง. ท่อี ณุ หภูมิ 15 ๐ C แอลเคนชนดิ ใดมสี ถานะเป็นแกส๊
ตอบ มเี ทน อเี ทน โพรเพน และ บิวเทน

จ. แก๊สหุงต้มที่ใช้ตามบ้านเรือน จะเก็บไว้ในถังโลหะหนาในสภาพเป็นของเหลว
นกั เรยี นคิดว่าวธิ ีทาให้แกส๊ หงุ ตม้ เป็นของเหลวทาได้อย่างไร
ตอบ ทาได้โดยลดอุณหภูมิและเพิ่มความดัน กระบวนการท่ีใช้กันท่ัวไปจะใช้การเพ่ิมความดัน
เพยี งอย่างเดียว แลว้ เก็บไวใ้ นถังโลหะทม่ี ผี นงั หนา
2. จงเขียนสูตรโมเลกุลของแอลเคน ไซโคลแอลเคน และหมู่แอลคิลที่มีจานวนอะตอมของ
คาร์บอนดงั ตอ่ ไปน้ี

จานวน C แอลเคน ไซโคลแอลเคน หม่แู อลคลิ
8
11 C8H18 C8H16 C8H17
16 C11H24 C11H22 C11H23
19 C16H34 C16H32 C16H33
C19H40 C19H38 C19H39

3. จงเขียนช่ือแอลเคนและไซโคลแอลเคนท่ีมสี ตู รโครงสรา้ ง ต่อไปนี้

สูตรโครงสร้าง ชือ่
2,3-ไดเมทลิ เฮกเซน
1. CH3 – CH2 – CH2 – CH – CH – CH3 (2,3-dimethylhexane)
CH3 CH3

CH3 3-เอทลิ -2,2-ไดเมทิลเฮกเซน
2. CH – CH – C – CH3 (3-ethyl-2,2-dimethylhexane)

CH2 CH2 CH3 2-เมทิลเฮปเทน
CH3 CH3 (2-methylheptane)

3. CH3- (CH2)4- CH – CH3
CH3

4. CH3- CH2- CH2- CH – CH3 3-เมทิลเฮกเซน
CH2- CH3 (3-methylhexane)

สูตรโครงสรา้ ง ช่อื

5. CH3 2,2-ไดเมทลิ บวิ เทน
CH3- C – CH2- CH3 (2,2-dimethylbutane)
CH3
3,4,4-ไตรเมทลิ เฮปเทน
6. CH3 (3,4,4-trimethylheptane)
CH2 CH3
CH2- C – CH – CH3 4-เมทิลโนเนน
CH3 CH2- CH3 (4-methylnonane)
4-เอทิล-3-เมทิลเฮปเทน
7. CH3- (CH2)2- CH – (CH2)4- CH3 (4-ethyl-3-methylheptane)
CH3
1-เอทลิ -2-เมทลิ ไซโคลเฮกเซน
8. CH3- CH2- CH – CH – CH2- CH3 (1-ethyl-2-methylcyclohexane)
CH3 CH2- CH2- CH3
CH3

9. CH2CH3

CH3 เมทิลไซโคลเพนเทน
10. (methylcyclopentane)

11. CH3 3-เอทิล-2-เมทิลเพนเทน
CH3-CH-CH-CH2-CH3 (3-ethyl-2-methylpentane)
CH2CH3
2,3,4-ไตรเมทลิ ออกเทน
12. (2,3,4-trimethyloctane)

13. ไซโคลออกเทน
(cyclooctane)

14.
3-เอทลิ -2,2-ไดเมทิลเฮปเทน
(3-ethyl-2,2-dimethylheptane)

4. จงเขียนสตู รโครงสรา้ งอยา่ งยอ่ และสตู รโครงสร้างแบบเสน้ และมุม ของแอลเคนและ
ไซโคลแอลเคนท่มี ชี ื่อต่อไปนี้

ชื่อ แบบย่อ แบบเสน้ และมมุ
1. 2,3-dimethylhexane
2. 3-ethyl-2,3- dimethylhexane (CH3)2CHCHCH2CH2CH3
CH3
3. 3-methylheptane CH3

4. 4,4-diethyl-2,5,5- (CH3)2CHCCH2 CH2 CH3
trimethyloctane CH2CH3

CH3 CH2CH(CH2)3CH3
CH3

CH2CH3
(CH3)2CHCH2CC(CH3)2(CH2)2CH3

CH2 CH3

ชอื่ แบบยอ่ แบบเส้นและมมุ
5. 2,3,4-trimethylpentane (CH3)2CHCHCH(CH3)2

6. 3-ethyl-4,5-dimethyloctane CH3

7. ethylcyclopropane CH3
8. ไซโคลเฮปเทน CH3CH2CHCHCH(CH2)2CH3

H3CH2C CH3

CH2CH3

9. 3-เอทลิ เฮกเซน CH3 CH2CH(CH2)2CH3
CH2CH3
10. 4-เอทิล-2,2-ไดเมทิล CH2CH3
ออกเทน
(CH3)3CCH2CH(CH2)3CH3
11. 1,3-ไดเมทลิ ไซโคลเพนเทน
H3C CH3

12. 2,2,5-ไตรเมทลิ -4-โพรพิล (CH3)3CCH2CCHH2CCCHHH(32CCHH23)3CH3
โนเนน

5. จงเขียนสมการการเผาไหมอ้ ย่างสมบรู ณ์ ของสารประกอบแอลเคนและไซโคลแอลเคนต่อไปน้ี

5.1 มีเทน (methane)

ตอบ CH4 + 2O2 CO2 + 2H2O

5.2 ไซโคลโพรเพน (cyclopropane)

ตอบ C3H6 + 4.5O2 3CO2 + 3H2O
5.3 บวิ เทน (butane)

ตอบ C4H10 + 6.5O2 4CO2 + 5H2O

5.4 ออกเทน (octane) 8CO2 + 9H2O
ตอบ C8H18 + 12.5O2

6. จงเขียนปฏิกิริยาแทนที่ของคลอรีนในที่ที่มีแสงสว่างกับสารประกอบอินทรีย์ต่อไปนี้ และเขียน
สตู รโครงสร้างของไอโซเมอร์ของผลติ ภณั ฑท์ เ่ี กิดจากปฏกิ ริ ิยา

6.1 เพนเทน (pentane)
ตอบ CH3-CH2-CH2-CH2-CH3 + Cl2 แสง CH3-CH2-CH2-CH2-CH2Cl + HCl

ไอโซเมอร์ของผลิตภัณฑม์ ี 3 ไอโซเมอร์ คือ CH3-CH2-CHCl-CH2-CH3
CH2Cl-CH2-CH2-CH2-CH3 CH3-CHCl-CH2-CH2-CH3

6.2 ไซโคลบิวเทน (cyclobutane) Cl

ตอบ + Cl2 แสง + HCl

ไอโซเมอร์ของผลติ ภัณฑ์มี 1 ไอโซเมอร์ คือ

Cl

6.3 2-เมทลิ โพรเพน (2-methylpropane) CH3-CH-CH2Cl + HCl
ตอบ CH3-CH-CH3 + Cl2 แสง CH3

CH3

ไอโซเมอร์ของผลิตภัณฑม์ ี 2 ไอโซเมอร์ คือ

CH3-CCl-CH3 CH3-CH-CH2Cl
CH3 CH3



แบบฝกึ หัด หน้า 58
1. จงเขียนสูตรโมเลกุล และเรียกชอ่ื สารประกอบท่ีมีสตู รโครงสรา้ งต่อไปนี้

ข้อ สูตรโครงสร้าง สูตรโมเลกุล เรยี กชือ่
C8H16
CH3 2,3-ไดเมทลิ -2-เฮกซนี
(2,3-dimethyl-2-hexene)
1 CH3-C=C-CH3
C8H14 4,4-ไดเมทิล-2-เฮกไซน์
CH2-CH2-CH3 (4,4-dimethyl-2-hexyne)
CH3

2 CH3 CH2 C CH3

C

C CH3 C11H20 4-เอทิล-4,6-ไดเมทิล-2-เฮปไทน์
CH2 CH3 (4-ethyl-4,6-dimethyl-2-heptyne)

3 CH3 CH CH2 C C C CH3

CH3 CH3

CH3 C12H24 4-เมทิล-4-โพรพิล-2-ออกทีน
(4-methyl-4-propyl-2-octene)
4 CH2 CH3
CH2 C CH=CH CH3 C10H18 3-เอทิล-3,5-ไดเมทลิ -1-เฮกไซน์
CH2 CH2 CH2 CH3 (3-ethyl-3,5-dimethyl-1-hexyne)
CH3 CH3
C10H20 4-เอทลิ -5-เมทลิ -1-เฮปทนี
5 CH CH2 C CH2 CH3 (4-ethyl-5-methyl-1-heptene)

CH3 C CH C13H24 7-เอทลิ -2,6-ไดเมทิล-4-โนไนน์
(7-ethyl-2,6-dimethyl-4-nonyne)
6

7

8 C12H22 5-เอทิล-4,6,6-ไตรเมทลิ -1-เฮปไทน์
(5-ethyl-4,6,6-trimethyl-1-heptyne)

ข้อ สูตรโครงสรา้ ง สูตรโมเลกุล เรียกชอ่ื
9 C7H12 3-เอทลิ ไซโคลเพนทีน
10 CH2CH3 (3-ethylcyclopentene)
C11H22 4-เอทิล-2,6-ไดเมทิล-2-เฮปทีน
(CH3)2CHCH2CHCH=C(CH3)2 (4-ethyl-2,6-dimethyl-2-heptene)

2. จงเขียนสตู รโครงสร้างและสูตรโมเลกุลของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทมี่ ีช่ือต่อไปน้ี

ข้อ ชื่อสารประกอบ สูตรโมเลกลุ สตู รโครงสรา้ ง

1 3-เอทลิ -2-เมทลิ -2-เพนทีน C8H16
(3-ethyl-2-methyl-2-pentene)

2 4-เอทิล-2,4-ไดเมทลิ -1-เฮกซีน C10H20
(4-ethyl-2,4-dimethyl-1-hexene)

3 3-เอทิล-4-เมทลิ -1-เฮกไซน์ C9H16
(3-ethyl-4-methyl-1-hexyne)

4 4,5,6-ไตรเมทลิ -2-เฮปไทน์ C10H18
(4,5,6-trimethyl-2-heptyne)

5 5-เอทลิ -4-โพรพลิ -1-เฮปทีน C12H24
(5-ethyl-4-propyl-1-heptene)

6 1,3-ไดเมทลิ ไซโคลเพนทนี C7H12
(1,3-dimethylcyclopentene) C5H8

7 1-เมทลิ ไซโคลบวิ ทีน
(1-methylcyclobutene)

3. สารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่อไปนี้มสี ตู รโครงสรา้ งแบบโซ่เปดิ สูตรโมเลกุลเปน็ ดังน้ี

สาร A BC D E

สตู รโมเลกลุ C4H8 C6H12 C2H2 C5H12 C3H8

3.1 สารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดอ่ิมตวั คือ D , E ชนดิ ไม่อม่ิ ตวั คือ A , B , C

3.2 สารใดควรมีสถานะเปน็ แกส๊ ทอ่ี ุณหภมู หิ ้อง A , C , E

3.3 สารใดเม่ือเผาไหม้ให้เขม่ามากทส่ี ุด C

3.4 เมอื่ ใหส้ าร A ทาปฏิกริ ิยากับ Br2 จะเกิดปฏกิ ิริยาชนิดใด ปฏกิ ิรยิ าการเตมิ

3.5 จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาระหวา่ ง สาร D กบั Br2

C5H12 + Br2 แสง  C5H11Br + HBr

3.6 จงเขยี นสมการแสดงปฏิกิริยาระหว่าง สาร C กับ Cl2

C2H2 + 2Cl2 C2H2 Cl4

3.7 จงเขยี นปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหมท้ ่ีสมบูรณ์ของสาร B

C6H12 + 9O2 6CO2 + 6H2O

3.8 จงเขยี นสูตรโครงสรา้ งที่เปน็ ไปได้ท้ังหมดของสาร A

4. สารประกอบใดต่อไปน้ีเป็นไอโซเมอรก์ นั

1. 2,3-ไดเมทลิ -3-เฮกซีน (2,3-dimethyl-3- hexene)

2. 4-เอทลิ -5- เมทลิ -2-เพนทีน (4-ethyl-5- methyl-2-pentene)

3. 3-เอทลิ -2,4-ไดเมทิล-2-เพนทนี (3-ethyl-2,4-dimethyl-2-pentene)

4. 5-เมทลิ -1-เฮกซนี (5-methyl-1-hexene)

ตอบ 1 , 2

5. A + H2 Pt B

B + I2 C + HI

ถ้า C คือ CH3 CH2 CH2I A ควรมสี ูตรโครงสรา้ งอย่างไร

ตอบ CH3CH=CH2

6. แอลคีนต่อไปนสี้ ามารถเกิดไอโซเมอรเ์ รขาคณิตหรือไม่ แอลคีนใดเกิดให้เขียนสูตรโครงสร้าง
ของ cis- และ trans- ไอโซเมอร์ ถา้ ไมเ่ กดิ ให้ระบุวา่ ไม่เกิด

แอลคนี ซิส-ไอโซเมอร์ ทรานส์-ไอโซเมอร์
1. CH3-CH=CH-CH3
H3C CH3 H CH3
2. CH2=CH-CH3 CC CC
3. CH3CH=C(CH3)2
4. CH3CH=C(CH3)CH2CH3 HH H3C H

5. CHCl=CHCH3 ไม่เกิด ไมเ่ กิด
ไมเ่ กิด
ไม่เกดิ

H CH2CH3 H CH3
CC CC

H3C CH3 H3C CH2CH3
Cl CH3 Cl H

C C CC

HH H CH3

8. สารประกอบของคาร์บอนแตล่ ะคู่ต่อไปนี้ ข้อใดเป็นสารชนิดเดยี วกนั หรือเป็นไอโซเมอร์กนั
ถา้ เป็นไอโซเมอร์ให้ระบุวา่ เปน็ ไอโซเมอรโ์ ครงสรา้ งหรือเป็นไอโซเมอรเ์ รขาคณิต

ข้อ สตู รโครงสรา้ ง คาตอบ
ไอโซเมอร์โครงสร้าง
HHHH H H Br H
สารชนิดเดียวกนั
1 HCCCCH HCCCCH

H H Br Br และ H H Br H

H3C CH3 H3C H

2 CC CC

H CH3 และ H3C CH3

H HH

HCH HCCCCH

3 HH H H HH สารชนดิ เดยี วกัน
ไอโซเมอร์โครงสรา้ ง
HCCCCH HCH

HH และ H

H CH3 HH

4 CC CC

H CH2CH3 และ H3C CH2CH3

ข้อ สตู รโครงสร้าง คาตอบ
ไอโซเมอร์เรขาคณติ
H3CH2C H HH

5 CC CC

และH
CH2CH3 H3CH2C CH2CH3



แบบฝกึ หดั หนา้ 68 CH3

1. จงเขียนสตู รโครงสร้างและเรยี กชื่อไอโซเมอร์ของ CH3

ตอบ เขยี นได้ 4 ไอโซเมอร์ คือ

CH3

CH3 CH3
CH3
CH2-CH3

CH3 CH3

1,2-ไดเมทิลเบนซีน 1,3-ไดเมทลิ เบนซีน 1,4-ไดเมทิลเบนซนี เอทิลเบนซนี

(1,2-dimethylbenzene) (1,3-dimethylbenzene) (1,4-dimethylbenzene) (ethylbenzene)

2. จากปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้ต่อไปน้ี 2A + 15 O2 10 CO2 + 10 H2O

A คือสารประกอบประเภทใดบ้าง มีสตู รโครงสร้างและชอื่ เรยี กอย่างไร

ตอบ สาร A มสี ูตรโมเลกลุ เป็น C5H10 สาร A จึงเป็นได้ 2 กรณี คือ

ก. เปน็ แอลคนี ข. เปน็ ไซโคลแอลเคน

เพนทนี (pentene) ไซโคลเพนเทน (cyclopentane)

3. จากการเปล่ียนแปลงต่อไปน้ี X + Br2 / CCl4 แสง Y
ถ้า Y คอื 2,3-ไดโบรโมเฮกเซน (2,3-dibromohexane) สาร X คอื อะไร มสี ตู รโครงสรา้ งอย่างไร

ตอบ X คอื 2-เฮกซีน (2-hexene) มสี ูตรโครงสร้างเป็น CH3-CH=CH- CH2-CH2-CH3
4. ถา้ แกส๊ X 1 โมล ทาปฏกิ ริ ยิ าสมบรู ณ์กับ H2 1 โมล โดยมี Pt เป็นตวั เร่งปฏกิ ิริยา ไดเ้ ป็น
แก๊สโพรพลิ ีน แก๊ส X คอื อะไร ถ้าให้ X ทาปฏกิ ิรยิ ากบั HBr จานวนมากเกินพอ จะไดส้ ารใด

เขยี นสมการประกอบ

ตอบ แกส๊ X คอื โพรไพน์(propyne) เขียนสมการดังนี้

CH  C-CH3 + H2 Pt CH2=CH- CH3
X ทาปฏิกิรยิ ากับ HBr ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ ดงั สมการ

CH  C-CH3 + 2HBr CH3-CBr2-CH3

5. สาร A และ B เป็นไฮโดรคาร์บอนท่มี ีคาร์บอนเทา่ กนั สาร A เม่ือเผาไหม้จะให้เปลวไฟสว่าง

ไม่มีควัน ทาปฏิกิริยากับ Br2 / CCl4 ในท่ีสว่างได้ สาร B เมื่อเผาไหม้จะให้เปลวไฟสว่าง แต่มี
เขม่าเกดิ ขึน้ ดว้ ย ทาปฏิกริ ยิ ากบั Br2 / CCl4 ในท่สี วา่ งได้ สาร A และ B จัดเปน็ สารประเภทใด
ตอบ A เป็นแอลเคน เพราะสาร A เผาไหม้ ไม่มีเขม่า แสดงว่าเป็นการเผาไหม้ท่ีสมบูรณ์ จึงเป็น

ไฮโดรคาร์บอนอ่ิมตัว ส่วนสาร B เนื่องจากเผาไหม้แล้วมีเขม่า จัดเป็นไฮโดรคาร์บอนไม่อ่ิมตัว

และสามารถเกิดปฏกิ ิรยิ ากบั Br2/CCl4 ได้ สาร B จึงอาจเป็นแอลคีนหรือแอลไคน์อย่างใดอย่างหน่ึง
แต่ B ไม่ใช่อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน เพราะอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนไม่เกิดปฏิกิริยากับ

Br2/CCl4
6. จากแผนภาพต่อไปน้ี

H2 Cl2
A B CH3- CH2 –Cl

Pt แสง

ก. A , B คือสารประกอบใด

ตอบ A เป็นแอลคีน สตู ร คือ CH2=CH2

B เป็นแอลเคน สูตรคือ CH3-CH3

ข. จงเขียนสมการแสดงปฏกิ ิรยิ าทเี่ กิดระหวา่ ง A กบั Cl2 และ A กับ HBr

ตอบ CH2=CH2 + Cl2 CH2Cl-CH2Cl

CH2=CH2 + HBr CH3-CH2Br

ค. สาร A , B สารใดที่เผาไหม้ในบรรยากาศปกติ แลว้ ไม่เกิดเขมา่

ตอบ สาร B

7. สารใดตอ่ ไปนี้ไมท่ าปฏกิ ิริยากบั Cl2 ในทมี่ ืด แต่ทาปฏิกิริยาได้เฉพาะเม่อื มแี สงสว่างอยู่ด้วย
เทา่ น้นั

ก. C2H2 ข. C2H4 ค. C2H6
ง. C2H4Cl2 จ. C2 Cl6 ฉ. C2H2Cl2
ตอบ ค และ ง

8. จงเขยี นสตู รโมเลกุลจากสูตรโครงสร้างของสารประกอบอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนตอ่ ไปนี้

สูตรโครงสร้าง สตู รโมเลกลุ สตู รโครงสรา้ ง สูตรโมเลกลุ
C18H12 C11H12
CH3CHC CH

CH3

C9H8 CH2CH3 C8H10

C14H10 C12H10

9. มีของเหลว 3 ชนิด ลกั ษณะเหมือนกนั วางรวมกัน คือ ไซโคลเฮปเทน(cycloheptane) เบนซีน

(benzene) และ เฮปทีน(heptene) นักเรียนจะมีวิธีพิสูจน์อย่างไรว่าของเหลวแต่ละชนิด คือสารใด

อธบิ ายวธิ ีทดสอบและผลอย่างละเอยี ด

ตอบ ทดสอบโดยใชส้ มบัตแิ ละปฏิกริ ยิ าทแ่ี ตกตา่ งกนั ของสารทง้ั สามชนดิ ดงั น้ี

1. ทดสอบการเผาไหม้ นาของเหลวทั้ง 3 ชนิดไปทาปฎิกิริยาเผาไหม้ สังเกตควันและเขม่าที่

เกิดข้ึน ของเหลวใดไม่มีควันและเขม่าเกิดข้ึนสารน้ันคือ ไซโคลเฮปเทน(cycloheptane) ซ่ึงเป็น

ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ส่วนของเหลวอีก 2 ชนิด มีเขม่าเกิดข้ึน ให้เปรียบเทียบปริมาณเขม่า

ของเหลวที่มีเขม่าและควันมากกว่า คือ เบนซีน(benzene) ของเหลวท่ีเขม่าน้อยกว่า คือ เฮปทีน

(heptene) เนื่องจาก เบนซนี (benzene) มีความไม่อิม่ ตัวมากกว่า เฮปทีน(heptene)

2. ทดสอบการเกดิ ปฏิกิรยิ ากบั สารละลายโบรมนี ของเหลวทัง้ 3 ชนิดเกดิ ปฏิกริ ิยาแตกต่างกัน

ของเหลวที่เกิดปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้เฉพาะในท่ีมีแสงเท่านั้น คือ ไซโคลเฮปเทน

(cycloheptane) ของเหลวที่เกิดปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้ทั้งในที่มืดและสว่าง คือ เฮปทีน

(heptene) ส่วนของเหลวท่ีไม่เกิดปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนท้ังในที่มืดและสว่าง คือ เบนซีน

(benzene)

10. จงเตมิ สมการแสดงปฏิกิรยิ าตอ่ ไปนใ้ี หส้ มบูรณ์

1. CH3-CH2-CH2-CH-CH3 + Br2 แสง CH3-CH2-CH2-CH-CH2Br + HBr
CH3 CH3

Cl Cl

2. CH3-CH2-C = CH2 + Cl2 CH3-CH2-C – CH2
CH3 CH3

3. + H2O OH
4. + I2 FeI3 I

+ HI

+ H2 Pt

5.

6. 3CH3CH=CHCH3 +2KMnO4 + 4H2O CH3CH-CHCH3 +2MnO2 + 2KOH
OH OH
7. CH3-CC-CH3 + 2 HCl Cl

8. + HNO3 H2SO4 CH3-CH2-C-CH3
Cl
9. CH3-CH2-CH=C-CH3 + HCl
CH3 NO2 + H2O
Cl
10. CH3-CC-CH2-CH3 + 2I2
CH3-CH2-CH2-C-CH3
11. CH3-CH=CH-CH3 + HBr CH3

12. CH3-CC-CH3 + H2 Pt CH3-CI2-CI2-CH2-CH3

13. + Cl2 แสง CH3-CH2 -CH-CH3
Br

CH3-CH=CH-CH3

Cl + HCl

14. 2 + 15O2 12CO2 + 6H2O

15. + H2 ไม่เกิดปฏิกริ ิยา



แบบฝึกหัด หนา้ 78
1. จงระบวุ ่าสารประกอบชนิดใดต่อไปน้ี เปน็ แอลกอฮอล์ ฟีนอล หรืออีเทอร์

สารประกอบ ประเภทของสาร สารประกอบ ประเภทของสาร
CH3CH2CH2CH-OH แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์
อเี ทอร์ OH อเี ทอร์
CH3
CH3CH2CH2CH-O-CH3 อเี ทอร์ O ฟนี อล

CH3 OH
CH3
OCH3

2. จงเขยี นไอโซเมอรท์ ม่ี ีหมู่ฟังกช์ ันชนดิ เดียวกับสารประกอบอนิ ทรยี ์ท่กี าหนดให้ตอ่ ไปน้ี

สารประกอบอินทรยี ์ ไอโซเมอร์

2.1 CH3-CH2-CH2-OH CH3-CH-CH3
2.2 CH3-CH2-O- CH2- CH3
OH

CH3-O-CH2-CH2-CH3

2.3 CH3 O CH CH3
CH3
CH3-CH2-CH-OH
OH HO-CH2-CH2-CH2 -OH

2.4 CH3-CH-CH2-OH
OH
OH OH
OH
CH3 C CH3
OH

OH
OH

OH OH

3. แอลกอฮอลโ์ ซ่ตรงชนิดหนงึ่ ประกอบด้วยคาร์บอน 7 อะตอม
แอลกอฮอล์ชนิดนีช้ ่ือ เฮปทานอล (heptanol)
สมบัติการละลายนา้ เปรียบเทียบกับบวิ ทานอล(butanol) ละลายไดน้ อ้ ยกวา่ บิวทานอล
จุดเดือด เปรียบเทียบกับบวิ ทานอล (butanol) จุดเดือดสงู กวา่ บวิ ทานอล
4. เพราะเหตุใดเอทานอล(ethnol) (CH3CH2OH) จึงมสี ถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิหอ้ ง
สว่ นไดเมทิลอเี ทอร์(dimethylether) (CH3OCH3) ซึง่ มีมวลโมเลกุลเท่ากนั จงึ มสี ถานะเป็นแกส๊
ตอบ เพราะแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลของเอทานอลเป็นพันธะไฮโดรเจนซึ่งเป็นพันธะที่
แขง็ แรง ในขณะท่ไี ดเมทิลอเี ทอร์ แรงยดึ เหนยี่ วระหว่างโมเลกุลเป็นแรงแวนเดอร์วาลส์ซึ่งเป็นแรง
ทอ่ี อ่ น จึงทาให้เอทานอลเป็นของเหลวและไดเมทลิ อเี ทอรเ์ ปน็ แกส๊ ท่ีอณุ หภมู หิ อ้ ง
5. จงเขียนสูตรโครงสร้างท่ีเป็นไปได้ ทงั้ หมดของสารที่มสี ูตรโมเลกุล C3H8O

CH3 CH CH3

ตอบ CH3 CH2 CH2 OH OH CH3 O CH2 CH3



แบบฝกึ หัด หน้า 84

1. จงระบุว่าสารประกอบชนิดใดต่อไปน้ี เปน็ แอลดไี ฮด์ หรือ คีโตน

สารประกอบ ประเภทของสาร สารประกอบ ประเภทของสาร
O แอลดีไฮด์ O แอลดีไฮด์
H –C-CH3 แอลดีไฮด์
CH3CH- CH2-C -H คีโตน
CH3 คีโตน CHO
O แอลดไี ฮด์
O
CH3CH2C-CH3 C

O CH2CH3
C

H

CH3

2. สารประกอบอินทรยี ์ทก่ี าหนดให้แต่ละคู่ตอ่ ไปน้ี ชนิดใดมีจุดเดือดสูงกวา่ กันเพราะเหตุใด
2.1 โพรพาโนน(propanone) กบั บิวเทน(butane)

ตอบ โพรพาโนนมีจุดเดือดสูงกว่าบิวเทน เนื่องจากสารทั้งสองมีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน แต่
โพรพาโนนเป็นโมเลกุลมขี ั้ว แรงยึดเหนย่ี วระหว่างโมเลกลุ จงึ สูงกวา่ บวิ เทนซงึ่ เป็นโมเลกลุ ไม่มีข้วั

2.2 โพรพานาล(propanal) กบั เพนทานาล(pentanal)
ตอบ เพนทานาลมีจุดเดือดสูงกว่าโพรพานาล เน่ืองจากสารท้ังสองเป็นสารประกอบประเภท
เดียวกัน มหี มู่ฟงั ก์ชนั เหมอื นกนั แต่ เพนทานาลมีมวลโมเลกลุ มากกวา่ จึงมแี รงยึดเหน่ียวระหว่าง
โมเลกุลมากกวา่ จงึ มจี ดุ เดอื ดสูงกว่า

2.3 บิวทานาล(butanal) กับบิวทานอล(butanol)
ตอบ บิวทานอลมีจดุ เดอื ดสงู กว่าบิวทานาล เนอื่ งจากสารทง้ั สองถึงแม้ว่าจะมีมวลโมเลกุลใกล้เคียง
กันเป็นโมเลกุลมีขั้วเหมือนกัน แต่เป็นสารประกอบต่างประเภทกัน บิวทานอลเกิดพันธะ
ไฮโดรเจนยดึ เหนยี่ วระหวา่ งโมเลกลุ ในขณะท่ีบิวทานาลไมม่ ี จึงทาใหม้ จี ุดเดอื ดสงู กวา่
3. จงเขยี นไอโซเมอรท์ ่ีเปน็ ไปไดท้ งั้ หมดของแอลดีไฮดแ์ ละคโี ตนท่ีมีสตู รโมเลกุลต่อไปนี้

3.1 C4H8O
ตอบ มี 3 ไอโซเมอร์ คือ

O

O CH3 CH C H O

CH3 CH2 CH2 C H CH3 CH3 C CH2 CH3

3.2 C5H10O
ตอบ มี 7 ไอโซเมอร์ คือ

OO

O CH3 CH CH2 C H CH3 CH2 CH C H

CH3 CH2 CH2 CH2 C H CH3 CH3

CH3 O O O
CH3 CH C CH3 CH3 CH2 CH2 C CH3
CH3 C C H
CH3 CH3
O

CH3 CH2 C CH2 CH3

4. เพราะเหตุใดแอลดีไฮด์และคีโตนจึงไม่เกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลเช่นเดียวกับ

แอลกอฮอล์

ตอบ พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลจะเกิดเมื่อโมเลกุลมีอะตอมของไฮโดรเจนสร้างพันธะ

โคเวเลนต์กับอะตอมขนาดเล็กที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีสูง เช่น F , O , N อะตอมออกซิเจนและ

ไฮโดรเจนในแอลดีไฮด์และคีโตนต่างสร้างพันธะโคเวเลนต์กับอะตอมของคาร์บอน ไม่มีอะตอม

ไฮโดรเจนสรา้ งพนั ธะกับออกซิเจน จึงไม่เกิดพันธะไฮโดรเจนยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลแอลดีไฮด์

และคโี ตน



แบบฝกึ หดั หน้า 90

1. กรดคารบ์ อกซาลิกแตล่ ะค่ตู ่อไปนีช้ นดิ ใดละลายน้าไดด้ กี วา่ กัน เพราะเหตใุ ด

1.1 CH3COOH กบั CH3CH2CH2COOH

ตอบ CH3COOH ละลายนา้ ไดด้ กี ว่า เพราะมีขนาดโมเลกลุ เลก็ กว่า

1.2 CH3CH2CH2COOH กับ COOH

ตอบ CH3CH2CH2COOH ละลายน้าได้ดีกวา่ เพราะมขี นาดโมเลกลุ เลก็ กวา่

2. จงเขยี นสมการการละลายนา้ ของกรดคาร์บอกซิลิกตอ่ ไปนี้

2.1 HCOOH

HCOOH(aq) + H2O(l) HCOO-(aq) + H3O+(aq)

2.2 Cl COOH

Cl COOH(s) + H2O(l) Cl COO – (aq) + H3O+(aq)

3. สารประกอบอินทรีย์แตล่ ะคูต่ ่อไปนีช้ นดิ ใดมีจุดเดือดสูงกวา่ กัน เพราะเหตใุ ด

3.1 กรดโพรพาโนอกิ (propanoic acid) กบั กรดเฮกซาโนอิก(hexanoic acid)

ตอบ กรดเฮกซาโนอิก เพราะเป็นสารประกอบประเภทเดียวกัน แต่กรดเฮกซาโนอิก มีมวล

โมเลกุลมากกว่า จึงมแี รงยดึ เหนยี่ วระหว่างโมเลกลุ มากกว่า จดุ เดอื ดจึงสูงกวา่ กรดโพรพาโนอิก

3.2 กรดเมทาโนอิก(methanoic acid) กับ เอทานอล(ethanol)

ตอบ กรดเมทาโนอิก เน่ืองจากสารท้ังสองมีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน เป็นโมเลกุลมีขั้ว

เชน่ เดียวกัน แตก่ รดเมทาโนอกิ เกิดพันธะไฮโดรเจนไดม้ ากกวา่ จึงมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล

มากกว่า จดุ เดือดจงึ สงู กว่าเอทานอล

3.3 เพนทาโนน(pentanone) กบั กรดบิวทาโนอกิ (butanoic acid)

ตอบ กรดบิวทาโนอิกมีจุดเดือดสูงกว่า เน่ืองจากกรดบิวทาโนอิกมีพันธะไฮโดรเจนระหว่าง
โมเลกลุ แต่ เพนทาโนนไม่มีพันธะไฮโดรเจนระหวา่ งโมเลกลุ จดุ เดอื ดจึงสูงกว่า
4.จงเรียงลาดับสารประกอบอินทรีย์ในแต่ละข้อต่อไปน้ี จากสารท่ีมีจุดเดือดสูงสุดไปหาสารที่มี
จดุ เดือดต่า

4.1 กรดแอซติ ิก(acetic acid) กรดโพรพาโนอิก(propanoic acid) กรดบิวทาโนอกิ (butanoic acid)
ตอบ เรียงลาดับ คอื กรดบิวทาโนอกิ กรดโพรพาโนอกิ กรดแอซิตกิ
เหตุผล สารทัง้ สามเป็นกรดอินทรยี ์เหมือนกนั กรดบวิ ทาโนอิกมีมวลโมเลกลุ มากทีส่ ดุ จดุ เดือด
จงึ สูงกว่า กรดโพรพาโนอิก และ กรดแอซิติก ตามลาดบั

4.2 บิวเทน(butane) โพรพานอล(propanol) กรดแอซติ กิ (acetic acid)
ตอบ เรียงลาดบั คอื กรดแอซิติก โพรพานอล บวิ เทน
เหตุผล สารทั้งสามมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน บิวเทนเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว จุดเดือดจึงต่าสุด ส่วน
กรดแอซิติกและโพรพานอล เป็นโมเลกุลมีขั้ว กรดแอซิติกเกิดพันธะไฮโดรเจนได้มากกว่า
โพรพานอล จึงมีจดุ เดอื ดสงู กว่า

4.3 บิวทานอล(butanol) บิวทาโนน(butanone) กรดโพรพาโนอกิ (propanoic)
ตอบ เรยี งลาดับ คือ กรดโพรพาโนอกิ บวิ ทานอล บิวทาโนน
เหตุผล สารท้ังสามมีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกันและมีขั้วเหมือนกัน แต่บิวทาโนนไม่มีพันธะ
ไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุล จึงมีจุดเดือดต่าท่ีสุด ส่วนกรดโพรพาโนอิกเกิดพันธะไฮโดรเจนได้
มากกว่าบิวทานอล แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลจึงมากกว่า จดุ เดือดจงึ สูงกว่าบิวทานอล
5. จงเขยี นสูตรโครงสรา้ งแสดงไอโซเมอร์ของกรดอินทรีย์ท่มี ีสูตรโมเลกลุ C5H10O2
พร้อมทัง้ เรยี กชือ่ ของกรดอนิ ทรีย์แตล่ ะไอโซเมอร์
ตอบ มีสตู รโครงสร้างของกรดอินทรีย์ 4 ไอโซเมอร์ ดงั นี้

CH3 CH2 CH COOH

CH3 CH2 CH2 CH2 COOH CH3

กรดเพนทาโนอิก กรด 2-เมทิลบวิ ทาโนอกิ

(pentanoic acid) (2-methylbutanoic acid)

CH3

CH3 CH CH2 COOH CH3 C COOH

CH3 CH3

กรด 3-เมทิลบวิ ทาโนอกิ กรด 2,2-ไดเมทิลโพรพาโนอิก

(3-methylbutanoic acid) (2,2-dimethylpropanoic acid)



แบบฝกึ หัด หนา้ 98

1. สารทีก่ าหนดให้ต่อไปน้ี สารใดเปน็ เอสเทอร์ ทาเคร่ืองหมาย  หน้าขอ้ ที่เปน็ เอสเทอร์

OO

 ก. CH3-O-C-CH3 ข. CH3-CH2-CH2-C-OH
O O

ค. CH3-O-CH2-C-CH3  ค. CH3-C-O-CH2-CH3
O

 ง. CH3 – -O-C-CH3

2. จงระบุว่าเอสเทอร์ต่อไปนี้ เกิดจากการทาปฏิกริ ยิ าระหว่างกรดอินทรียแ์ ละแอลกอฮอลช์ นดิ ใด
พร้อมทง้ั เขยี นปฏกิ ิรยิ าเอสเทอรฟิ เิ คชนั ท่ีเกิดขึ้น

ก. เมทิลโพรพาโนเอต(methylpropanoate)
ตอบ เกิดจากการทาปฏกิ ิรยิ าระหว่าง กรดโพรพาโนอิก(propanoic aid) กบั เมทานอล(methanol)

CH3CH2COOH + CH3OH H+ CH3CH2COOCH3 + H2O

ข. โพรพลิ บิวทาโนเอต(propylbutanoate)

ตอบ เกิดจากการทาปฏกิ ิริยาระหว่าง กรดบิวทาโนอิก([butanoic acid) กบั โพรพานอล(propanol)

OO

CH3CH2CH2COH + CH3CH2CH2OH H+ CH3CH2CH2COCH2CH2CH3 + H2O

ค. บิวทลิ ซาลิซเิ ลต(butylsalicilate)

ตอบ เกิดจากการทาปฏกิ ริ ิยาระหว่าง กรดซาลซิ ิลิก(salicylic acid) กับ บวิ ทานอล([butanol)

OO

C OH H+ C O CH2CH2CH2CH3
+ H2O
+ CH3CH2CH2CH2OH
OH OH

3. จงเขยี นสมการแสดงปฏิกิรยิ าไฮโดรลิซสิ ของเอสเทอร์ท่ีกาหนดใหต้ ่อไปนี้พร้อมทง้ั อ่านชอ่ื

ผลิตภัณฑท์ ่เี กิดข้ึน

ก. บิวทิลแอซเิ ตต(butylacetate)

OO

CH3COCH2CH2CH2CH3 + H2O H+ CH3COH + CH3CH2CH2CH2OH

กรดเอทาโนอกิ (ethanoic acid) + บวิ ทานอล(butanol)

ข. เพนทิลบวิ ทาโนเอต(pentylbutanoate)

OO

CH3CH2CH2COCH2CH2CH2CH2CH3 + H2O H+ CH3CH2CH2COH + CH3CH2CH2CH2CH2OH

กรดบิวทาโนอิก(butanoic acid) + เพนทานอล(pentanol)

ค. เอทิลซาลิซเิ ลต(ethylsalicilate)

OO

C O CH2CH3 C OH
OH
+ H2O H+ + CH3CH2OH
OH

กรดซาลิซลิ กิ (salicilic acid) + เอทานอล(ethanol)

4. จงเขยี นสตู รโครงสร้างของไอโซเมอรข์ องสารประกอบทีม่ ีสูตรโมเลกลุ C4H8O2 ตามเงอื่ นไข
ตอ่ ไปน้ี

ก. ไอโซเมอร์ทเ่ี ป็นกรดอนิ ทรยี ์

ตอบ มี 2 ไอโซเมอร์ คือ

O

CH3 CH2 CH2 C OH กรดบิวทาโนอิก (butanoic acid)

O

CH3 CH C OH กรด2-เมทลิ โพรพาโนอิก (2-methylpropanoic acid

CH3 เมทลิ โพรพาโนเอต (methylpropanoate)
เอทลิ เอทาโนเอต (ethylethanoate)
ข. ไอโซเมอร์ท่ีเป็นเอสเทอร์ โพรพลิ เมทาโนเอต (propylmethanoate)
ตอบ มี 4 ไอโซเมอร์ คือ

O
CH3 CH2 C O CH3

O

CH3 C O CH2 CH3
O

H C O CH2 CH2 CH3
O

H C O CH CH3 1-เมทลิ เอทิลเมทาโนเอต (1-methylethylmethanoate)
CH3 

แบบฝึกหดั หน้า 107

1. สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน 2 ชนิด A และ B มสี ตู รโมเลกุล C4H8 สาร A ฟอกสีสารละลาย
KMnO4 สาร B ไม่ฟอกสี KMnO4 จากสมบัติดังกล่าว สาร A และสาร B เป็นสารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอนประเภทใดและมีสูตรโครงสร้างเปน็ อย่างไร

ตอบ สาร A เป็นแอลคีน มีสูตรโมเลกุล คอื CH3-CH2-CH=CH2
สาร B เปน็ ไซโคลแอลเคน มสี ูตรโมเลกลุ คือ

2. แอลเคน A B และ C มสี ตู รโครงสร้างและสมบตั ิดงั ตาราง

สาร สูตรโครงสร้าง จุดเดือด (๐C)

A CH3(CH2)3CH3 36.1

B CH3CH2CH(CH3)2 27.8

C C(CH3)4 -11.7

นักเรยี นคิดว่าจดุ เดือดของสารมีความสัมพันธก์ บั โครงสร้างของโมเลกุลอยา่ งไร เพราะเหตุใด

ตอบ แอลเคนท่ีมีสูตรโครงสร้างเป็นโซ่ตรงมีจุดเดือดสูงกว่าแอลเคนท่ีมีสูตรโครงสร้างเป็นโซ่ก่ิง

เมอ่ื มีมวลโมเลกุลเทา่ กัน เน่ืองจาก การมีโครงสร้างแบบโซ่ตรงทาให้การจัดเรียงโมเลกุลได้ใกล้ชิด

และมีระเบียบมากกว่า จึงทาให้มีแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลมากกว่า ส่งผลให้มีจุดเดือดสูงกว่า

การมีโครงสร้างเปน็ แบบโซก่ งิ่

3. จงวงกลมลอ้ มรอบหมฟู่ งั กช์ นั ทีอ่ ยู่ในโมเลกุลของธาซอล (taxol) ซ่ึงเป็นสารตา้ นมะเรง็ พร้อมทงั้

ระบุช่ือหมู่ฟังกช์ ันแต่ละตาแหนง่

O O 3

1 25 OH

NH OO 4

O O3H O
O 2O O
2
2
O
O
OH

3

ตอบ 1 = หมู่เอไมด์ 2 = หมแู่ อลคอกซีคาร์บอนิล 3 = หมูไ่ ฮดรอกซิล
4 = หมู่ออกซี 5 = หมู่คารบ์ อนลิ

4. จงเขียนสูตรโครงสรา้ งลวิ อิสที่เปน็ ไปได้ทง้ั หมดของสารทม่ี สี ตู รโมเลกุลต่อไปนี้

ก. C3H4 เขยี นสตู รโครงสร้างได้ 3 ไอโซเมอร์

H HH HH

HCCCH HCCCH C

H HCCH

ข. C4H8 เขียนสตู รโครงสรา้ งได้ 5 ไอโซเมอร์

HHHH HHHH HH HH HH
HCCH CH
H C C C C HH C C C C HH C C C H

HH H H H HC CHHCCCH

HCH HH HHH

H

ค. C3H3 F3 เขยี นสตู รโครงสรา้ งได้ 8 ไอโซเมอร์

HH F HFF FHF FFF

HCCC F HCCC F HCCC F HCCCH

F HH H

F FH FHF HF HF
C C

FCCCH FCCCH HCC F FCCH

H H FH FH

ง. C3H6 O เขยี นสูตรโครงสรา้ งได้ 9 ไอโซเมอร์

HHO HOH HHH HHH

H C C C H H C C C H H C C C OH H C C C O H

HH HH H H

H HH O H
HCO
HOH HH H C HCCH HCCH

HCCCHHCCOCH H C C H HH C H HH

HH HOH H

จ. C3H9 N เขยี นสูตรโครงสรา้ งได้ 4 ไอโซเมอร์

HHHH HHH HHHH HH

HCCCNH HCCNH HCNCCH HCNCH

HHH H H HH HH

HCH HCH

HH

ฉ. C3H6 O2 เขียนสตู รโครงสรา้ งได้ 32 ไอโซเมอร์

HHO HO H O HH OH H
HCCOCH
HCCCOH HCCOCH HCOCCH
HH
HH HH HH

OHH OHH HOH HHH
HCCCOH HCCCH
H C C C OHH C C C OOH
HH HOH
HH H

HH H HH H HOHH HH H

H C C O O C HH C C O C O H H C C O C H H O C C O C H

HH H H

HHH HH HH HHH

H C C C O HH C C C O H H O C C C H H O C C C O H

OH HOH HOH H

HH H OH HH

H H O C H H H C O O HH C O HH C O H H O HH
O C C CC CC CC CCC

HH HH HH H OH H O HH

OH OH H H H
HC C C OCCC C C
H H O H O H H H O O CH
H HH O H H HH HC C O C HO C C
H C HH
HH H

HH

H H HH H H H H
HCO HCO HH C O H C O H H H
C C
HC OHC O

H C C O HH O C C H C C O OCCH HCO OCH
H H
HH HH HH
HH H

O

5. แอลกอฮอล์ + สาร A H+

CH3-C-O-CH2-CH2-CH2-CH3 + H2O

ก. จงเขียนชื่อและสูตรโครงสร้างของแอลกอฮอลแ์ ละสาร A พรอ้ มทั้งบอกวธิ ีทดสอบสารทงั้

สองชนดิ

ตอบ แอลกอฮอล์ คือ บิวทานอล(butanol) สตู รโครงสร้าง CH3-CH2-CH2-CH2-OH

สาร A คือ กรดเอทาโนอิก(ethanoic acid) สูตรโครงสร้าง CH3-COOH

ทดสอบโดยนาสารท้ังสองไปทาปฏิกิริยากับสารละลาย NaHCO3 สารท้ังสองจะเกิดปฏิกิริยา

ต่างกัน คือ แอลกอฮอล์จะไม่ทาปฏิกิริยากับสารละลาย NaHCO3 ส่วนสาร A เป็นกรดอินทรีย์

ทาปฏกิ ิรยิ ากับสารละลาย NaHCO3 ไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ป็นแก๊ส CO2 เขยี นสมการ ดังน้ี

CH3COOH(aq) + NaHCO3(aq) CH3COONa(aq) + H2O(l) + CO2 (g)

ข. จงบอกชอ่ื ของปฏิกิรยิ าท่เี กดิ ข้ึน

ตอบ ปฏกิ ริ ยิ าเอสเทอริฟิเคชัน

ค. ผลิตภัณฑ์ที่เกิดข้ึนเป็นสารประกอบอินทรีย์ประเภทใด จงเขียนชื่อและสมบัติของผลิตภัณฑ์

ท่เี กดิ ขนึ้

ตอบ ผลิตภัณฑท์ ่ีเกิดขึ้นคือเอสเทอร์ชือ่ บิวทิลเอทาโนเอต(butylethanoate) เป็นสารที่มีกลิน่ เฉพะตวั

6. ปฏกิ ริ ิยาทกี่ าหนดให้ต่อไปนี้เป็นปฏกิ ริ ิยาประเภทใด เมือ่ อย่ใู นภาวะทเี่ หมาะสม

ก. เอทานอล + ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ + น้า

ตอบ ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้

ข. อีเทน + โบรมีน โบรโมอีเทน + ไฮโดรเจนโบรไมด์

ตอบ ปฏกิ ิริยาการแทนที่

ค. เอทิลีน + คลอรนี ไดคลอโรอีเทน

ตอบ ปฏกิ ิริยาการเตมิ

ง. เบนซนี + คลอรีน คลอโรเบนซีน + ไฮโดรเจนคลอไรด์

ตอบ ปฏกิ ิรยิ าการแทนที่

จ. เพนทานอล + แอซิติก เพนทิลแอซิเตต + น้า

ตอบ ปฏกิ ิริยาเอสเทอริฟเิ คชัน

ฉ. เมทิลฟอร์เมต + นา้ ฟอร์มกิ + เมทานอล

ตอบ ปฏกิ ิริยาไฮโดรลซิ ิส

7. A และ B เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีมีโครงสร้างเป็นโซ่เปิด นา A และ B อย่างละ

1 โมล ทาปฏกิ ริ ยิ าเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ พบว่าเกิดไอน้าขึ้น 6 โมลเท่ากัน หยด A และ B ลง

ในหลอดทดลอง 2 หลอด ทม่ี ีสารละลายโบรมีนและอยู่ในห้องมืด ตามลาดับ เม่ือเวลาผ่านไป

5 นาที พบวา่ หลอดท่หี ยดสาร A ไม่เปล่ยี นแปลง สว่ นหลอดท่ีหยดสาร B สารละลายเปลี่ยนจาก

สนี ้าตาลแดงเปน็ ไม่มีสี

ก. สาร A และ B เปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนประเภทใด เพราะเหตุใด

ตอบ สาร A และ B เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีเป็นโซ่เปิด ดังน้ันจึงเป็นอะลิฟาติก

ไฮโดรคาร์บอน โดยสาร A เป็นแอลเคน เพราะไม่ทาปฏิกิริยากับสารละลายโบรมีนในที่มืด

สว่ นสาร B อาจเปน็ ได้ทงั้ แอลคนี และแอลไคน์ เพราะสามารถเกิดปฏิกิริยากับสารละลายโบรมีน

ในท่ีมืดได้

ข. สาร A และสาร B มีชื่อและสูตรโมเลกลุ อย่างไร เขียนสมการแสดงปฏิกริ ิยาการเผาไหมท้ ่ี

สมบูรณข์ องสาร A และ B

ตอบ สาร A 1 โมล ให้ H2O 6 โมล ดังน้นั สาร A 1 โมเลกุลประกอบด้วย H 12 อะตอม
สาร A คอื เพนเทน(pentane) สูตรโมเลกลุ C5H12

ปฏิกริ ิยาเผาไหม้ C5H12 + 8O2 5CO2 + 6H2O

สาร B 1 โมล ให้ H2O 6 โมล ดงั นนั้ สาร B 1 โมเลกุลประกอบด้วย H 12 อะตอม

กรณเี ปน็ แอลคนี สาร B คอื เฮกซีน(hexene) สูตรโมเลกลุ C6H12

ปฏิกิริยาเผาไหม้ C6H12 + 9O2 6CO2 + 6H2O

กรณเี ปน็ แอลไคน์ สาร B คือ เฮปไทน์(heptyne) สตู รโมเลกลุ C7H12

ปฏิกริ ยิ าเผาไหม้ C7H12 + 10O2 7CO2 + 6H2O

ค. ถ้านาหลอดท่ีหยดสาร A มาวางไว้ในท่ีสว่าง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เกิดปฏิกิริยา

ประเภทใด และมวี ธิ ที ดสอบผลิตภัณฑ์ทเ่ี กิดขึ้นอยา่ งไร

ตอบ สีนา้ ตาลแดงจางหายไปและมแี ก๊สทเ่ี ป็นกรดเกิดขึ้น เกิดปฏกิ ิรยิ าการแทนท่ี ดังสมการ

C5H12 + Br2 C5H11Br + HBr

ทดสอบแก๊ส HBr ที่เกดิ ข้ึนโดยใช้กระดาษลติ มสั ชบุ น้าให้ช้นื มาอังที่ปากหลอดทดลอง

8. จงเรียกชือ่ IUPAC ของสารประกอบอนิ ทรยี ต์ ่อไปนี้

ข้อ สูตรโครงสร้าง ชื่อ
2-เมทลิ -2-เพนทานอล
CH3 (2-methyl-2-pentanol)

1 CH3 CH2 CH2 C CH3 3-เอทลิ -1-เฮกซานอล
(3-ethyl-1-hexanol)
OH
CH3 CH2 CH2 CH CH2 CH2 OH

2 CH2

CH3

3 CH3 CH2 CH2 CH2 CH2 COOH กรดเฮกซาโนอิก (hexanoic acid)
4 CH3 CH2 CH2 CH CH3 กรด 2-เมทิลเพนทาโนอิก
(2-methylpentanoic acid)
COOH เอกซานาล (hexanal)

5 CH3 CH2 CH2 CH2 CH2 CHO 3,3-ไดเมทลิ บวิ ทานาล
(3,3-dimethylbutanal)
CH3
3-เฮกซาโนน
6 CH3 C CH2 CHO (3-hexanone)

CH3
O

7 CH3 CH2 C CH2 CH2 CH3

ข้อ สตู รโครงสรา้ ง ช่ือ

O 3-เมทิล-2-บวิ ทาโนน
(3-methyl-2-butanone)
8 CH3 C CH CH3
1-เพนทานามีน (1-pentanamine)
CH3
2-เมทลิ -2-เพนทานามนี
9 CH3 CH2 CH2 CH2 CH2 NH2 (2-methyl-2-pentanamine)

CH3 เฮกซานาไมด์ (hexanamide)
2-เอทลิ เพนทานาไมด์
10 CH3 CH2 CH2 C CH3 (2-ethylpentanamide)
โพรพิลเอทาโนเอต
NH2 (propylethanoate)
เอทลิ เพนทาโนเอต
11 CH3 CH2 CH2 CH2 CH2 CONH2 (ethylpentanoate)
12 CH3 CH2 CH2 CH CH2 CH3
1-โบรโม-4-คลอโรเบนซนี
CONH2 (1-bromo-4-chlorobenzene)

O

13
CH3 C O CH2 CH2 CH3

O

14

CH3 CH2 CH2 CH2 C O CH2 CH3
Br

15

Cl

9. จากชื่อของสารต่อไปนี้ จงเขยี นสตู รโครงสรา้ งให้ถูกต้อง

ข้อ ชอื่ สตู รโครงสรา้ ง

1 3-เมทลิ -2-เพนทานอล CH3
(3-methyl-2-pentanol)
CH3 CH2 CH CH CH3
2 3-เมทลิ -1-บิวทานอล
(3-methyl-1-butanol) OH
CH3
3 กรด 3,4-ไดเมทิลเฮกซาโนอิก
(3,4-dimethylhexanoic acid) CH3 CH CH2 CH2 OH
CH3 CH3
4 กรด 2-เอทิลบิวทาโนอกิ
(2-ethylbutanoic acid) CH3 CH2 CH CH CH2 COOH
CH3 CH2 CH COOH
CH2
CH3

ข้อ ชือ่ สตู รโครงสรา้ ง

5 2-เอทิล-2-เมทลิ บิวทานาล CH3
(2-ethyl-2-methylbutanal) CH3 CH2 C CHO

6 2.3-ไดเมทิลเพนทานาล CH2 CH3
(2.3-dimethylpentanal) CH3 CH3
CH3 CH2 CH CH CHO
7 3-เพนทาโนน O
(3-pentanone)
CH3 CH2 C CH2 CH3
8 2,4-ไดเมทลิ -3-เพนทาโนน O
(2,4-dimethyl-3-pentanone)
CH3 CH C CH CH3
9 3-เฮกซานามีน CH3 CH3
(3-hexanamine)
CH3 CH2 CH2 CH CH2 CH3
10 2,2-ไดเมทลิ -1-โพรพานามนี NH2
(2,2-dimethyl-1-propanamine)
CH3
11 2-เมทิลบิวทานาไมด์
(2-methylbutanamide) CH3 C CH2 NH2
CH3
12 เพนทานาไมด์ CH3
(pentanamide)
CH3 CH2 CH CONH2
13 2-เมทิลโพรพิลเมทาโนเอต
(2-methylpropylmethanoate) CH3 CH2 CH2 CH2 CONH2

14 เมทลิ ซาลิซเิ ลต O
(methylsalicilate)
H C O CH2 CH CH3
15 1,4-ไดโบรโมเบนซนี CH3
(1,4-dibromobenzene)
O
C O CH3

OH
Br

Br

10. สารประกอบของคาร์บอนแต่ละคตู่ ่อไปนี้ สารใดมจี ุดเดือดสูงกวา่ กัน

CH3 O
CH3

ก. OH และ

CH3

ตอบ OH มจี ุดเดือดสูงกว่าเนอื่ งจากเกดิ พนั ธะไฮโดรเจน จึงมแี รงยดึ เหนยี่ วระหวา่ ง

โมเลกลุ มากกวา่ O
CH3

ซึง่ ไม่มีพันธะไฮโดรเจน

ข. CH3CH2CH2COOH และ CH3CH2CH2CH2OH

ตอบ CH3 CH2 CH2COOH มีจุดเดือดสงู กวา่ เน่อื งจากเกดิ พันธะไฮโดรเจนได้มากกว่า จึงมี

แรงยึดเหน่ยี วระหว่างโมเลกลุ มากกว่า CH3 CH2 CH2 CH2 OH

OO

ค. CH3 CH2 C OH และ CH3 C O CH3

O

ตอบ CH3 CH2 C OH มจี ุดเดือดสงู กว่าเน่อื งจากเกิดพนั ธะไฮโดรเจน จึงมีแรงยึดเหนี่ยว

O

ระหวา่ งโมเลกลุ มากกวา่ CH3 C O CH3 ซงึ่ ไม่มพี นั ธะไฮโดรเจน
11. จากปฏกิ ิริยาต่อไปนี้

A + H2O H+/ OH- B +C
B + alcohol H+ D + H2O

D + NaOH CH3CH2CH2COONa + E

C + HCl CH3NH3+ + Cl-
E + Na CH3CH2ONa + H2

E + NaHCO3

B + NaHCO3 CH3CH2CH2COONa + H2O + F

จงเขยี นสูตรโครงสร้างของ A B C D E และ F

ตอบ A = CH3CH2CH2CONHCH3 D = CH3CH2CH2COOCH2CH3
B = CH3CH2CH2COOH E = CH3CH2OH
C = CH3NH2 F = CO2

12. จงเตมิ ปฏกิ ริ ยิ าต่อไปนีใ้ ห้สมบรู ณ์ CH3 CH CH2 ONa + H2
CH3
1. CH3 CH CH2 OH + Na COONa + H2O + CO2
CH3

2. COOH + NaHCO3

3. CH3CH=CHCH2COOH + Na CH3CH=CHCH2COONa + H2

4. CH3CH2CH2COOH + CH3CH2OH H+
CH3CH2CH2COOCH2CH3 + H2O

CH3 O + H2O CH3 O OH
H+ CH3 C CH2 C OH +
5. CH3 C CH2 C O
CH3
CH3 O
O

6, CH3CH2CH2CH2OCCH3 + NaOH CH3CONa + CH3CH2CH2CH2OH
O O

7. CH3CH2CNHCHCH3 + H2O CH3CH2COH + CH3CHNH2
CH3
CH3
8. CH3 CH2 CH2 NH2 + HCl CH3 CH2 CH2 NH3+ + Cl-

O

9. CO2 + 2NH3 NH2 C NH2 + H2O

10. CH2NH2 + H2O CH2NH3+ + OH-



หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 12 เชื้อเพลิงซากดกึ ดาบรรพ์และผลติ ภณั ฑ์

แบบฝึกหัด หน้า 127
1. เชอ้ื เพลิงซากดึกดาบรรพ์คืออะไร มกี ี่ชนิดอะไรบา้ ง
ตอบ เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ คือเชื้อเพลิงที่เปล่ียนสภาพมาจากส่ิงมีชีวิตในยุคต่างๆเป็นเวลา
นานนับล้านปี โดยกระบวนการทางธรณีวิทยาและธรณีเคมี ตัวอย่างเชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์
ได้แก่ ถ่านหิน หินน้ามัน น้ามันดิบ และแก๊สธรรมชาติ ถ่านหินเป็นเช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ท่ีมี
มากท่ีสดุ ถงึ รอ้ ยละ90 ของพลังงานสารองของโลก
2. การใชถ้ า่ นหนิ เป็นเชื้อเพลงิ มขี อ้ ดีและขอ้ เสียอยา่ งไร
ตอบ ขอ้ ดเี ปน็ เชื้อเพลงิ ทม่ี มี ากท่ีสดุ จงึ มีราคาไม่แพงเม่ือเปรียบเทียบกับน้ามันและแก๊สธรรมชาติ
เนื่องจากตน้ ทุนในการผลิตตา่ กวา่

ข้อเสีย ไม่สะดวกในการขนส่งและการนาไปใช้ เมื่อเผาไหม้ธาตุที่เป็นองค์ประกอบใน
ถ่านหินเกิดออกไซด์ที่เป็นพิษ เช่น CO2 CO SO2 NO และ NO 2 เกิดเขม่าและเถ้าถ่านทาให้
เกดิ ปญั หาตอ่ ระบบทางเดนิ หายใจและเกิดความสกปรก รวมทัง้ กอ่ ใหเ้ กิดปญั หาตอ่ สิ่งแวดล้อม
3. ประสิทธภิ าพของถา่ นหนิ ทใ่ี ชเ้ ป็นเช้ือเพลิงข้ึนกับปจั จยั ใด
ตอบ ประสิทธิภาพของการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงขึ้นอยู่กับปริมาณคาร์บอนที่เป็นองค์ประกอบ
ถ่านหินท่ีมีปริมาณคาร์บอนมากหรือมีอายุการเกิดนาน จะมีปริมาณคาร์บอนสูงและเผาไหม้ให้ค่า
พลงั งานความร้อนสงู กว่าถ่านหินทม่ี อี ายกุ ารเกิดน้อย
4. เมือ่ เผาไหม้ถ่านหนิ จะไดส้ ารใดเปน็ ผลิตภัณฑแ์ ละกระทบตอ่ ส่งิ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอ้ มอย่างไร
ตอบ 1. CO2เป็นสาเหตุสาคัญของภาวะเรอื นกระจกซงึ่ ทาใหอ้ ุณหภูมิของโลกร้อนขึน้

2. CO เปน็ แก๊สท่ีมีกล่ินและไม่มีสี ถ้ามีความเข้มข้นมากจะมีผลต่อสุขภาพของประชาชน
ที่อยู่ใกล้เคียง ทาให้ผู้ที่ได้รับแก๊สนี้เกิดอาการมึนงง คล่ืนไส้ ซึ่งถ้าได้รับปริมาณมากอาจทาให้
หมดสตหิ รอื ถึงตายได้

3. SO2 และ NOX ( NO2 และ NO) เป็นสาเหตุสาคัญของภาวะมลพิษในอากาศ ทาให้เกิด
การระคายเคอื งตอ่ ระบบทางเดินหายใจและปอด เกิดฝนกรดซ่ึงทาให้น้าในแหล่งน้าต่างๆ มีความ
เป็นกรดสงู ขนึ้ ส่งผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของทัง้ พชื และสตั ว์และการผกุ รอ่ นของสง่ิ กอ่ สรา้ ง

4. ของเสียท่ีเปน็ ฝุ่นหรือเถา้ ถ่านจะมีพวกโลหะต่างๆ ปนออกมาด้วย ทาให้เกิดการปนเปื้อน
ในแหลง่ นา้ เกดิ ผลเสียตอ่ สภาพแวดลอ้ มและตอ่ ส่งิ มชี ีวติ ทั้งในพชื และสัตว์
5. ปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ สมบตั ิของถ่านหินได้แกอ่ ะไร

ตอบ ปัจจัยที่มีผลต่อสมบัติของถ่านหิน ได้แก่ ชนิดของพืชท่ีทับถม สภาพแวดล้อมของแหล่ง
สะสมตะกอน ความรอ้ นและความดนั ขณะท่ีมกี ารเปลย่ี นแปลง และการเน่าเป่ือยท่ีเกิดข้ึนก่อนการ
ถกู ฝงั กลบ

แบบฝกึ หดั หนา้ 137
1. จงอธบิ ายกระบวนการเกดิ ปิโตรเลียมและองคป์ ระกอบของปโิ ตรเลยี ม
ตอบ ปิโตรเลียมเกิดจากซากพืชซากสัตว์บริเวณทะเลทับถมกันเป็นเวลานาน ภายใต้อุณหภูมิและ
ความดันสงู จนเกิดการแยกสลายเปลยี่ นสภาพเปน็ นา้ มนั ดบิ และแก๊สธรรมชาติแทรกอยู่ในช้ันหิน
น้ามันดิบมีลักษณะเป็นของเหลวข้นสีดาหรือสีน้าตาลเข้ม เป็นสารผสมของไฮโดรคาร์บอนหลาย
ชนิด ส่วนแก๊สธรรมชาติประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีคาร์บอน 1-5 อะตอม
รวมท้ังสารประกอบท่ีไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ คาร์บอนไดออกไซด์
นอกจากนี้ยังประกอบด้วยแก๊สไนโตรเจนและฮีเลียม สัดส่วนขององค์ประกอบในแก๊สธรรมชาติ
จะแตกตา่ งกนั ข้นึ อยูก่ ับแหลง่ ทีพ่ บ
2. การสารวจทางธรณวี ิทยาเพ่อื หาแหลง่ ปิโตรเลยี มชว่ ยให้ได้ขอ้ มลู ในการคาดคะเนในเร่ืองใด
ตอบ การสารวจทางธรณีวิทยาเพ่ือหาแหล่งปิโตรเลียมช่วยให้ได้ข้อมูลในการคาดคะเนว่าจะมี
โอกาสพบโครงสรา้ งและชนดิ ของหนิ ใต้พ้ืนดินท่ีเอื้ออานวยต่อการกักเก็บปิโตรเลียมในบริเวณนั้น
มากนอ้ ยเพียงใด
3. การสารวจทางธรณีฟิสิกส์เพื่อหาแหล่งปิโตรเลียมได้แก่การสารวจในเรื่องใดและข้อมูลที่ได้มี
ประโยชนอย่างไร
ตอบ การสารวจทางธรณีฟสิ กิ ส์เพ่ือหาแหล่งปโิ ตรเลยี มไดแ้ กก่ ารสารวจในเร่ืองต่อไปน้ี

1. วัดความเขม้ สนามแม่เหล็กโลก เพ่ือใหท้ ราบถึงความหนา ขอบเขต ความกว้างของแอ่ง
และความลกึ ของช้นั หิน

2. วดั คา่ ของความโน้มถว่ งของโลก เพ่อื ทราบชนดิ ของชัน้ หินใตผ้ ิวโลกในระดบั ตา่ งๆ
3. วัดคลืน่ ไหวสะเทือน เพอื่ ทราบตาแหน่ง รปู รา่ ง ลักษณะ และโครงสร้างของช้ันหิน
ใตพ้ ื้นดนิ



แบบฝกึ หดั หนา้ 148

1. การปรบั ปรุงโครงสรา้ งโมเลกุลของนา้ มันโดยวิธีแอลคิลเลชันแตกต่างจากวธิ ีโอลโิ กเมอไรเซชัน

อย่างไร

ตอบ วธิ แี อลคิลเลชัน เป็นการเพิ่มหมู่แอลคิลเข้าไปในโมเลกุล โดยการนาแอลเคนกับแอลคีนท่ี

มีโซ่ก่ิงมาทาปฏิกิริยากันและใช้กรดซัลฟิวริกเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอลเคนท่ีมีโซ่

กิง่

ส่วน วิธีโอลิโกเมอไรเซชัน เป็นการนาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อ่ิมตัวโมเลกุลเล็กมาทา

ปฏิกิริยากันเกิดเป็นโมเลกุลท่ีมีจานวนอะตอมของคาร์บอนเพ่ิมขึ้นและยังมีพันธะคู่เหลืออยู่ใน

โมเลกุล

2. น้ามันเบนซินชนิดหน่ึงมีส่วนผสมของไอโซออกเทน 18 ส่วน และเฮปเทน 2 ส่วนโดยมวล

นา้ มนั ชนดิ นมี้ ีเลขออกเทนเท่าใด

ตอบ สมมติให้น้ามนั เบนซิน 100 สว่ น ประกอบดว้ ยไอโซออกเทน a สว่ น

ไอโซออกเทน a สว่ น = ไอโซออกเทน 18 สว่ น

เบนซนิ 100 สว่ น 18 เบนซิน 20 สว่ น
20
ไอโซออกเทน a ส่วน = 100 = 90

ดงั นั้น น้ามนั เบนซนิ มเี ลขออกเทน 90

3. เบนซีน และเบนซนิ มคี วามเหมอื นหรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร จงอธบิ าย

ตอบ เบนซีนและเบนซินเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ติดไฟได้เช่นเดียวกัน มีความแตกต่าง

กัน คือ เบนซีนเป็นสารประกอบอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน มีสูตรเป็น C6H6 ติดไฟได้ดี มีเขม่า
มาก เนื่องจากเป็นไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว ไอของเบนซีนเป็นพิษ ก่อให้เกิดมะเร็งในเส้นเลือด

ไมน่ ยิ มใชเ้ ป็นเชือ้ เพลิง

ส่วนเบนซิน หรือน้ามันเบนซิน ใช้เป็นเช้ือเพลิงในเครื่องยนต์แก๊สโซลีน เป็น

สารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีมีส่วนผสมของแอลเคนท่ีมีคาร์บอนอยู่ในช่วง 6 – 12 อะตอม เผา

ไหม้ไดด้ ี ไม่มีเขม่า จงึ นยิ มใชเ้ ป็นเชื้อเพลิง

3. เลขซีเทนเป็นค่าท่ีระบสุ มบตั ิการเผาไหม้ของนา้ มันดีเซล จงอธิบายความหมายของนา้ มนั ดเี ซลท่ี

มเี ลขซีเทน 48

ตอบ นา้ มนั ดเี ซลทมี่ ีเลขซีเทน 48 หมายถงึ น้ามันดีเซลทปี่ ระกอบด้วยน้ามันเช้ือเพลิงซ่ึงมีสมบัติการ

เผาไหม้เช่นเดียวกับสารที่เกิดจากการผสมซีเทน (C16H34) 48 ส่วน กับแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน
(C11H10) 52 สว่ น โดยมวล

4. จงบอกชอื่ ผลติ ภัณฑท์ ่ไี ด้จากการแยกแก๊สธรรมชาติและกลั่นน้ามันดิบซ่ึงนามาใช้เป็นสารตั้งต้น
ในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมีข้นั ต้น
ตอบ ผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากการแยกแก๊สธรรมชาติและกล่ันน้ามันดิบ ซ่ึงนามาใช้เป็นสารตั้งต้นใน
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีข้ันต้น ได้แก่ อีเทนใช้ผลิตเอทิลีน โพรเพนใช้ผลิตโพรพิลีน แนฟทาใช้
ผลิตเบนซนี โทลูอีนและไซลนี


แบบฝกึ หัด หนา้ 154
1. จงเตมิ สูตรเคมขี องสารผลติ ภณั ฑ์ ประเภทของพอลิเมอร์ว่าเป็นโคพอลิเมอร์หรือโฮโมพอลิเมอร์
และประเภทของพอลเิ มอไรเซชันของปฏกิ ิรยิ าต่อไปนี้

1.1 n CH2=CH CH3 ( CH2 CH) n

ประเภทพอลิเมอร์ โฮโมพอลเิ มอร์ CH3

ประเภทปฏกิ ิรยิ า พอลิเมอไรเซชันแบบเติม

1.2 n CH2=CH COOCH3 ( CH2 CH ) n

ประเภทพอลิเมอร์ โฮโมพอลิเมอร์ COOCH3

ประเภทปฏิกิรยิ า พอลเิ มอไรเซชนั แบบเติม

OO

1.3 n NH2(CH2)6NH2 + n HOOC(CH2)4COOH ( NH(CH2)6NHC(CH2)4C)n + 2nH2O

ประเภทพอลเิ มอร์ โคพอลิเมอร์ ประเภทปฏิกริ ยิ า พอลเิ มอไรเซชนั แบบ

ควบแนน่

1.4 n H2N(CH2)10COOH ( NH(CH2)10CO )n + nH2O

ประเภทพอลิเมอร์ โฮโมพอลเิ มอร์ ประเภทปฏิกริ ิยา พอลเิ มอไรเซชันแบบ

ควบแนน่

1.5 n CH2=CH-CCl=CH2 + n CH2=CH-CH3 (CH2-CH=CCl-CH2-CH2-CH2-CH2) n

ประเภทพอลิเมอร์โคพอลิเมอร์ ประเภทปฏิกริ ยิ า พอลิเมอไรเซชนั แบบเตมิ

2. จงเขียนสูตรมอนอเมอร์และประเภทของพอลิเมอร์จากพอลิเมอรต์ ่อไปน้ี

พอลเิ มอร์ มอนอเมอร์ ประเภทพอลิเมอร์
โฮโมพอลิเมอร์
2.1 CH3
C=CH2
CH3 CH3 COOCH3
–(-C– CH2 – C– CH2–)–

CO2CH3 CO2CH3

พอลเิ มอร์ มอนอเมอร์ ประเภทพอลิเมอร์
H2N-CO-NH2 และ CH2O โคพอลเิ มอร์
2.2 –(HN–CO–NH–CH2–)n
2.3 CH2=CHCl โฮโมพอลิเมอร์

Cl Cl CH2=CH-CH=CH2 โฮโมพอลเิ มอร์
(CH2– CH– CH2 – CH ) HOOC-(CH2)4-COOH และ โคพอลเิ มอร์
2.4 (CH2–CH=CH – CH2 )n
2.5 (OC(CH2)4–COOCH2CH2O)n HO-CH2-CH2-OH

3. จงยกตัวอย่างพอลิเมอร์ธรรมชาติท่ีพบในชีวิตประจาวัน ทั้งที่เป็นโฮโมพอลิเมอร์ และโคพอลิ
เมอร์
ตอบ พอลิเมอร์ธรรมชาติที่เป็นโฮโมพอลิเมอร์ ได้แก่ แป้ง เซลลูโลส ซ่ึงมีกลูโคสเป็นมอนอ
เมอร์ ยางธรรมชาตซิ ึง่ มไี อโซพรีนเปน็ มอนอเมอร์ สว่ นโคพอลเิ มอร์ ได้แก่ โปรตีน ขนสัตว์ และ
ไหม ซึง่ มกี รดอะมโิ นหลายชนดิ เปน็ มอนอเมอร์
4. จงเปรยี บเทยี บปฏิกิรยิ าพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่นและแบบเติม
ตอบ ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่นเป็นปฏิกิริยาท่ีเกิดการรวมตัวของมอนอเมอร์ท่ีมีหมู่
ฟังกช์ ันมากกว่า 1 หมู่ ไดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ป็นพอลิเมอรแ์ ละมีสารโมเลกุลเล็กเกิดขึ้นด้วยเสมอ อาจเป็น
น้า แอมโมเนีย ไฮโดรเจนคลอไรด์ หรืออื่น ๆ ส่วนปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันแบบเติม เป็น
ปฏิกิริยาท่ีเกิดการรวมตัวของมอนอเมอร์ที่มีพันธะคู่ระหว่างคาร์บอนกับคาร์บอนในโมเลกุล
ผลิตภัณฑ์ที่ได้เป็นพอลิเมอร์เพียงอย่างเดียว ไม่มีสารโมเลกุลเล็กเกิดขึ้น เน่ืองจากเป็นการ
เกิดปฏิกิริยาการเติมที่ตาแหน่งพันธะคู่ พอลิเมอร์ท่ีเกิดข้ึนโดยท่ัวไปมักจะมีโครงสร้างเป็นแบบ
เสน้ การเกิดปฏิกริ ิยาส่วนใหญ่ต้องใช้อณุ หภูมิและความดนั สงู


แบบฝกึ หัด หนา้ 163

1. จงเขยี นสมการแสดงปฏกิ ริ ยิ าการสงั เคราะหพ์ ลาสติกต่อไปน้ี
1.1. พอลไิ วนลิ คลอไรด์

n CH2 =CHCl ( CH2 CHCl )
n
1.2 พอลิเตตระฟลอู อโรเอทลิ นี (เทฟลอ่ น)

n CF2=CF2 ( CF2 CF2 )n

1.3 อะครไิ ลไนไตรดบ์ วิ ทาไดอีนสไตรนี โคพอลเิ มอร์

–(–CH2-CHCN-CH2-CH=CH-CH2-CH2- CH-C6H5–)–

n CH2=CH + n CH2=CH CH=CH2 + n CH=CH2 (CH2 CH CH2 CH=CH CH2 CH2 CH)n

CN CN

2. พลาสติกชนิดใดใชท้ าผลติ ภัณฑท์ ี่กาหนดใหแ้ ละอธิบายสมบัตขิ องพลาสติกชนิดนัน้ ๆ
2.1 พลาสตกิ ทใ่ี ชท้ าถุงบรรจุขนมปงั อาหารแช่แข็ง

ตอบ LDPE มีสมบตั ิ ใส เหนยี ว ป้องกนั การผา่ นของน้าไดด้ ี มคี วามยดื หยนุ่ มาก
2.2 พลาสติกทใ่ี ชท้ าขวดใสน่ ม ถงุ ใสอ่ าหารและของเด็ก

ตอบ HDPE มสี มบัติ ป้องกนั การผ่านของนา้ และนา้ มนั ไดด้ ี ทนต่อกรด เบสและสารเคมี
2.3 พลาสตกิ ที่ใช้ทากล่องวดี ีทศั น์ ถาดอาหาร

ตอบ PS มสี มบตั ิ แข็ง เปราะ ทนต่อกรดและด่างอ่อน
2.4 พลาสติกที่ใช้ทาเลนสแ์ ว่นกนั แดด หมวกกนั นอ็ ก ตูเ้ คร่อื งปรับอากาศ

ตอบ PS มสี มบตั ิ แข็งแรง ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ กรด เบสไดด้ ี
2.5 พลาสติกทีใ่ ชท้ าขวดน้ามันพืช ขวดน้าอดั ลม ขวดน้ายาบว้ นปาก

ตอบ PET มสี มบัติ เหนยี ว ทนต่อการกระแทกและสารเคมี เบา กันซมึ นา้ มันและออกซิเจน
3. จงบอกข้อดีของเทอรม์ อพลาสตกิ มา 3 ประการ

3.1 อ่อนตวั เม่ือได้รับความรอ้ น แข็งตัวเมอื่ อณุ หภมู ลิ ดลง
3.2 สามารถเปล่ียนแปลงรูปรา่ งได้
3.3 นากลบั มาใช้ใหม่ได้
4. จงยกตวั อยา่ งพลาสติกทนี่ ามารีไซเคิลได้มา 3 ชนิด และเพราะเหตุใดจงึ รีไซเคลิ ได้
ตอบ พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีน เพราะมีสมบัติอ่อนตัวเม่ือได้รับความร้อนและ
แข็งตวั เมื่ออณุ หภมู ลิ ดลงโดยสมบัตไิ ม่เปลีย่ นแปลง จึงสามารถนากลับมาหลอมและข้นึ รปู ใหมไ่ ด้
5. เพราะเหตุใดพลาสติกเทอร์มอเซตจงึ แขง็ แรงและทนความร้อนได้สูงมาก
ตอบ เพราะเป็นพลาสติกท่ีขึ้นรูปโดยการผ่านความร้อนและแรงดัน มีการเช่ือมต่อระหว่างโซ่
โมเลกลุ เป็นรา่ งแห จึงมีความแขง็ แรงมากทนความร้อนและความดันได้ดี
6. ถา้ ไวนลิ คลอไรด์ (CH2=CHCl) เกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันกบั ไดคลอโรเอทิลนี (CH2=CCl2)
สูตรทั่วไปของพอลเิ มอร์จะเปน็ อยา่ งไร
ตอบ พอลิเมอร์ทีเ่ กิดข้ึนมสี ูตรทั่วไปคอื ( CH2 CHCl CH2 CCl2)n

7. พอลเิ มอร์ท่มี โี ครงสรา้ งดังต่อไปนี้ B.
A

C D.

7.1 พอลเิ มอรใ์ ดควรมคี วามหนาแนน่ มากทสี่ ุด
ตอบ พอลิเมอร์ที่มีความหนาแน่นมากที่สุด คือ ชนิด A เพราะมีโครงสร้างแบบเส้นทาให้สายโซ่
พอลเิ มอรส์ ามารถเรียงตัวชิดกันได้มาก

7.2 พอลเิ มอร์ใดควรมคี วามยดื หยนุ่ ได้ และพอลิเมอร์ใดควรจะมีจุดหลอมเหลวสูงท่ีสุด อธิบาย
เหตุผลประกอบ
ตอบ พอลิเมอรท์ มี่ คี วามยดื หย่นุ ได้ คอื B C และ D

พอลิเมอร์ชนิด B มีพันธะเชื่อมโยงระหว่างโซ่พอลิเมอร์หลัก เม่ือออกแรงดึงพอลิเมอร์จะ
ยืดออก เมื่อปล่อยโซ่พอลิเมอร์หลักจะหดกลับมาดังเดิม แต่ถ้าจานวนพันธะระหว่างโซ่มีมาก
ความยืดหยุน่ ไดข้ องพอลิเมอร์จะลดลงและมีความแข็งเพ่ิมขึ้น ตัวอย่าง พอลิเมอร์โครงสร้างแบบนี้
ไดแ้ ก่ ยางท่ีผา่ นการวัลคาไนเซชนั

พอลิเมอร์ชนิด C มีความยืดหยุ่นได้ เนื่องจากโซ่พอลิเมอร์มีโซ่ก่ิงยาวระเกะระกะ
โซ่พอลิเมอร์จึงอยู่ห่างกัน เม่ือออกแรงดึงพอลิเมอร์จะยืดออกและหดกลับได้เม่ือปล่อยแรง แต่
ขนาดไมเ่ ท่าเดมิ ตัวอย่างพอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบนี้ ได้แก่ พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่า
( LDPE )

พอลิเมอร์ชนิด D มีความยืดหยุ่น แต่น้อยกว่า C เนื่องจากโซ่พอลิเมอร์มีโซ่กิ่งส้ัน จึงมี
ความเป็นระเบียบมากกว่า ทาให้โซ่พอลิเมอร์หลักเรียงชิดกันได้ดีกว่าแบบ ตัวอย่างพอลิเมอร์
ท่ีมีโครงสร้างแบบนี้ได้แก่ พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่าเชิงเส้น (Linear Low Density
Polyethylene : LLDPE)

พอลิเมอร์ท่ีควรมีจุดหลอมเหลวสูงท่ีสุด คือ B เพราะมีโครงสร้างแบบร่างแห มีพันธะ
เชื่อมโยงระหวา่ งโซพ่ อลเิ มอรห์ ลกั ยึดพอลิเมอร์ไม่ให้ไหลเล่ือนจากกันเม่ือได้รับความร้อนสูง ถ้ามี
จานวนพันธะเชอ่ื มโยงมาก จดุ หลอมเหลวจะย่ิงสงู มาก

7.3 ถา้ พิจารณาพอลเิ มอร์ A C และ D พอลิเมอรใ์ ดควรมีความหนาแน่นน้อยที่สุด และพอลิเมอร์
ใดควรมคี วามขุ่นมากที่สุด
ตอบ พอลิเมอร์ทม่ี คี วามหนาแนน่ น้อยสุด คือ ชนิด C เพราะโครงสร้างท่ีไม่สามารถเรียงตัวชิดกัน
เน่ืองจากโซ่พอลิเมอร์มีกิ่งก้านสาขาท่ีมีขนาดยาว ส่วนพอลิเมอร์ท่ีขุ่นท่ีสุด คือ ชนิด A เพราะสาย
โซ่พอลิเมอร์สามารถเรียงชดิ กันได้มากท่ีสุด
8. โครงสร้างของพอลิเมอร์ตอ่ ไปนี้ มผี ลต่อความแขง็ แรงและความยืดหยุ่นของพอลิเมอร์อย่างไร

8.1 โซพ่ อลเิ มอรท์ มี่ ีก่ิงมากแต่เป็นโซก่ ่งิ ส้ัน
ตอบ โซ่พอลเิ มอรม์ มี ากแตเ่ ปน็ โซก่ งิ่ สนั้ จะเป็นพอลเิ มอรท์ ี่มีความเหนียวและยืดหยนุ่ ได้

8.2 พอลิเมอร์ทม่ี ีพนั ธะเชอื่ มโยงระหวา่ งสายโซ่มาก
ตอบ พอลิเมอร์ที่มีพันธะเชื่อมโยงระหว่างสายโซ่มาก จะทาให้พอลิเมอร์มีความแข็ง เปราะ และ
ไมย่ ืดหย่นุ



แบบฝกึ หัด หน้า 170
1. จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาการสังเคราะห์เส้นใย ต่อไปนี้ และระบุว่าเป็นพอลิเอสเทอร์หรือ
พอลิเอไมด์

OO OO

1.1 n HOC COH + n HOCH2CH2OH ( C COCH2CH2O ) n + 2n H2O

เปน็ พอลิเอสเทอร์

1.2 n NH2(CH2)6NH2 + n HOOC(CH2)4COOH ( NH(CH2)6NHCO(CH2)4CO)n + 2n H2O

เป็น พอลเิ อไมด์

1.3 n NH2(CH2)5COOH ( NH(CH2)5CO)n + n H2O

เปน็ พอลิเอไมด์

1.4 n NH2(CH2)6NH2 + n ClOC(CH2)6COCl ( NH(CH2)6NHCO(CH2)6CO) n + 2nHCl

เปน็ พอลิเอไมด์

2. พอลิเมอรท์ จี่ ะนามาทาเปน็ เส้นใยควรมโี ครงสร้างอย่างไร

ตอบ เป็นพอลิเมอรท์ ่ีมคี วามยาวอย่างน้อยเป็น 100 เทา่ ของเส้นผ่านศูนย์กลาง เหมาะสมตอ่ การรีด

และป่ันเป็นเสน้ ด้าย

3.จงยกตวั อย่างผลิตภัณฑ์ส่ิงทอท่ีผลติ จากเสน้ ใยธรรมชาติ

ตอบ เส้นใยธรรมชาติท่ีนามาผลิตส่ิงทอจาแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่ เส้นใยเซลลูโลส(จากพืช)

และเส้นใยโปรตีน(จากสัตว์) ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ผลิตจากเส้นใยเซลลูโลส เช่น ผ้าลินิน ผ้าฝ้าย

ส่วนผลิตภณั ฑส์ ่ิงทอทผี่ ลิตจากเสน้ ใยโปรตีน เชน่ ผา้ ไหม ผ้าขนสตั ว์

4. จงเปรียบเทียบข้อดแี ละขอ้ เสียของเสน้ ใยธรรมชาตแิ ละเส้นใยสงั เคราะห์

ชนดิ ของเสน้ ใย ขอ้ ดี ขอ้ เสีย

ดดู ซับนา้ ได้ดี ทนสารเคมี เส้นใย เมื่อเปยี กน้าแห้งชา้ เปน็ รางา่ ย หด

เสน้ ใยธรรมชาติ แขง็ แรง สวมใส่เยน็ สบาย ตวั มาก ยบั ง่าย เส้นใยกรอบ

เสอ่ื มสภาพเมือ่ ถูกแดดจดั

น้าหนกั เบา เก็บความร้อนได้ดี เกดิ ไฟฟา้ สถติ ได้ง่าย เม่ือสวมใส่จึง

ส่วนใหญ่ดูดซับน้าได้ ทนทาน ทาให้ผา้ ติดตัว ใสแ่ ล้วร้อน

เสน้ ใยสังเคราะห์ ตอ่ จุลนิ ทรยี ์ เช้ือรา แบคทเี รยี ทน

ต่อสารเคมี ซกั งา่ ย แห้งเร็ว ไมย่ บั

ง่าย



แบบฝึกหัด หนา้ 177

1. จงเติมสตู รสารผลิตภณั ฑป์ ฏกิ ิรยิ าการสงั เคราะห์ยางไนไตรด์จากบวิ ทาไดอนี และอะคริโลไนไตรด์

n CH2=CH CH=CH2 + n CH2=CH ( CH2 CH=CH CH2 CH2 CH )

n

CN CN

2. จงอธิบายวธิ กี ารปรบั ปรงุ คณุ ภาพของยางธรรมชาติให้เหมาะสมสาหรบั ทายางรถยนต์

ตอบ การปรับปรุงคุณภาพของยาง ทาได้โดยการเติมกามะถันในปริมาณท่ีเหมาะสมและให้ความ

ร้อนสูงกวา่ จดุ หลอมเหลวของกามะถัน ทาใหย้ างมีสภาพยืดหยุ่นและคงตัวในอุณหภูมิต่างๆ ทน

ต่อความร้อนและแสงแดด และละลายในตัวทาละลายยากข้ึน เรียกกระบวนการนี้ว่า

กระบวนการวัลคาไนเซชัน การเติมซิลิกา ซิลิเกต และผงถ่านจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของยาง

นอกจากน้ีผงถ่านจะช่วยป้องกันการสึกกร่อนและทนต่อแสงแดดท่ีจะทาลายโครงสร้างของ

พอลิเมอร์ในเน้อื ยางได้

3. ปรมิ าณกามะถันทใี่ ชใ้ นปฏกิ ริ ิยาวลั คาไนเซชนั มผี ลต่อสมบัตขิ องยางหรอื ไมอ่ ย่างไร
ตอบ การเติมกามะถันในปฏิกิริยาวัลคาไนเซชัน ต้องเติมในปริมาณท่ีเหมาะสม ทาให้กามะถัน
สร้างพันธะโคเวเลนต์เชื่อมระหว่างโซ่พอลิไอโซพรีนในตาแหน่งท่ีเหมาะสม มีผลให้ยางท่ีได้มี
คุณภาพดี คือ มีความยืดหยุ่นดี มีความคงตัวสูง ทนต่อความร้อน แสงแดด ถ้าเติมมากหรือน้อย
เกินไป ยางทีไ่ ดจ้ ะมีคุณภาพลดลง โดยทว่ั ไปจะเติมกามะถนั ในปรมิ าณร้อยละ 3 โดยมวล
4. จงอธิบายวธิ ีการทายางแผ่นจากนา้ ยางธรรมชาติ
ตอบ การทายางแผ่นจากน้ายางธรรมชาติ ทาได้โดยนาน้ายางท่ีได้จากต้นยางมาเติมสารละลาย
แอมโมเนีย เพื่อป้องกันการบูดและการจับตัวเป็นก้อน แล้วจึงเติมกรดแอซิติกหรือกรดฟอร์มิก
เจอื จางลงไป เพอื่ ทาใหเ้ นื้อยางรวมตัวเปน็ ก้อนตกตะกอนแยกออกมา จากน้ันนาตะกอนท่ีได้ไปรีด
น้าออกและทาใหเ้ ป็นแผ่น แล้วจึงนาไปตากแห้งจะได้แผ่นยางดบิ ทีน่ ามาใช้ประโยชนต์ อ่ ไป



แบบฝึกหดั หน้า 181

1. จงนาตวั เลขหน้าคาทางซา้ ยมอื ไปใสห่ น้าข้อความทางขวามอื ท่มี ีความสัมพนั ธก์ ัน

1. ไฮโดรคาร์บอน 4 ก. เกิดจากการถลุงแรบ่ างชนดิ เช่น แร่ทองแดง แรต่ ะกวั่

2.ไนโตรเจนไดออกไซด์ 9 ข. รวมตัวกับฮีโมโกลบินไดด้ กี ว่าออกซิเจน

3.ไฮโดรคาร์บอนไม่อิม่ ตัว 5 ค. ละลายนา้ ได้กรดซัลฟวิ รกิ

4. ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ 2 ง. ปฏิกริ ยิ ากบั ออกซเิ จนและไฮโดรคาร์บอนได้ PAN

5. ซลั เฟอร์ไตรออกไซด์ 6 จ. ทาลายโอโซนในช้ันบรรยากาศ

6. คลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน 3 ฉ.รวมตวั กบั ออกซิเจนหรือโอโซนไดแ้ อลดไี ฮด์

7. ไนโตรเจนมอนอกไซด์ 8 ช. เกิดจากการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ของเช้ือเพลิง

ฟอสซลิ

8. คารบ์ อนไดออกไซด์ 7 ซ. เป็นแก๊สไม่มีสีทาปฏิกิริยากับออกซิเจนได้แก๊สสี

น้าตาลแดง

9. คารบ์ อนมอนอกไซด์ 1 ฌ. สารอนิ ทรยี ์ติดไฟง่าย หลายชนดิ เป็นเชอื้ เพลิง

10.แก๊สมเี ทน 10 ญ เปน็ แกส๊ ชนิดหน่งึ ทท่ี าใหเ้ กิดภาวะเรือนกระจก

2. จงเปรยี บเทยี บข้อดขี อ้ เสียของการกาจัดพลาสติกโดยวธิ ีตา่ ง ๆ

วิธกี าร ขอ้ ดี ขอ้ เสีย
1. การเผา
รวดเร็ว กาจัดได้ปรมิ าณมาก เกิดแก๊สพิษทาให้เกิดมลพิษ
2. การฝัง
ทางอากาศ
3. การถมท่ีชายฝั่ง
ทาได้ง่าย กาจัดได้ปริมาณมาก เกิดมลภาวะทางดิน ดินขาด
4. การนาไปหลอมกลับมา
ใชใ้ หม่ ไมเ่ กดิ มลพิษทางอากาศ ความพรุน การระบายน้า

5. การเติมสารทท่ี าให้พลาสตกิ อากาศไม่ดที าให้ดินเสีย
ย่อยสลายได้ง่ายขึ้น
ป้องกันชาย ฝั่ง มีพ้ืนที่ใช้ ทาใหเ้ กดิ มลภาวะทางดิน

ประโยชนเ์ พิม่ มากข้ึน

ลดต้นทุนในการผลิต ช่วยลด คณุ ภาพพลาสตกิ ทีไ่ ดล้ ดต่าลง

ปญั หาขยะ ลดภาวะมลพิษ

พลาสติกย่อยสลายได้ เป็นการ ตอ้ งใชค้ วามรูร้ ะดับสงู

ลดปญั หาภาวะมลพิษ ต้นทนุ การผลติ สงู

3. จงอธิบายความสัมพันธ์ของคา่ BOD COD และ DO ของแหล่งน้าเดียวกันพร้อมท้ังให้เหตุผล
ประกอบ
ตอบ BOD COD และ DO เป็นค่าท่ีใช้บอกคุณภาพน้า โดยค่า DO คือ ปริมาณออกซิเจนที่
ละลายในน้า ค่า BOD คอื ปริมาณออกซเิ จนท่ีจลุ ินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้า ส่วน
ค่า COD คือ ปริมาณออกซิเจนท่ีสารเคมีใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ โดยทั่วไป น้าจากแหล่ง
เดียวกันจะมีค่า COD สูงกว่า BOD เน่ืองจากสารอินทรีย์ในน้าบางส่วนจุลินทรีย์ไม่สามารถย่อย
สลายได้ ปริมาณออกซิเจนท่ีใช้ในการย่อยสลายของจุลินทรีย์จึงน้อยกว่าปริมาณออกซิเจนที่ใช้ใน
การสลายสารอินทรีย์ท้ังหมดในน้าทางเคมี กรณีที่แหล่งน้าเป็นน้าดี จะต้องมีออกซิเจนในน้ามาก
พอสาหรบั การดารงชีวิตของสัตวน์ า้ ค่า DO ตอ้ งมคี ่าไม่น้อยกว่า 3 mg/l มีปริมาณสารอินทรีย์ท่ีมี
ในน้าน้อย คา่ BOD ต้องไม่เกิน 100 mg/l
4. ถ้าแหล่งน้า เช่น คลอง ในชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่เกิดปัญหาน้าเน่าเสีย นักเรียนคิดว่าเกิดจาก
สาเหตุใด และในฐานะทีเ่ ป็นนักเรยี น นักเรยี นมีวิธีการแก้ไขปญั หา นีไ้ ด้อยา่ งไร
ตอบ สาเหตุการเน่าเสียของแหล่งน้าในชุมชนอาจมาจากหลายสาเหตุ คือ เกิดจากการปล่อยน้าท้ิง
จากบ้านเรอื นลงในแหลง่ น้า การทง้ิ ขยะมลู ฝอยลงในแหลง่ น้า ทาใหน้ า้ เน่าเสยี ขยะทเี่ ป็นพลาสติก
หรอื วัตถทุ ีไ่ ม่ยอ่ ยสลาย ทาให้เกิดการอุดตนั การไหลเวยี นของน้าไม่ดี ทาให้ยิ่งเกิดการเน่าเสียมาก
ขน้ึ หรือน้าเสียอาจมาจากแหล่งชุมชนใกลเ้ คียง โรงงานอุตสาหกรรม ทีอ่ ยู่ทางตน้ น้า

ในฐานะที่เป็นนักเรียน ดาเนินการแก้ไขปัญหา ดังน้ี ปรึกษาบิดามารดา และผู้ใหญ่ใน
บ้านถึงปัญหาท่ีเกิดข้ึนว่ามีสาเหตุจากอะไร หาแนวทางแก้ปัญหา จากน้ันร่วมกับผู้ใหญ่ติดต่อ
ประสานงานกับผู้นาชุมชุน สมาชิกชุมชนเพ่ือหาแนวทางแก้ไข ดาเนินการแก้ไข เช่น ติดต่อ
หน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าที่ดูแล ระดมคนในชุมชนช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ช่วยกันเก็บขยะ
ในแหล่งน้า ขุดลอกบริเวณที่อุดตัน ใช้น้าจุลินทรีย์ (EM) เติมในแหล่งน้าเพื่อช่วยการย่อยสลาย
สารอินทรีย์ สารวจแหล่งโรงงานอตุ สาหกรรมในบริเวณใกล้เคียงว่าเป็นสาเหตุหรือไม่แล้วให้ผู้นา
ชมุ ชนดาเนนิ การ

การแกไ้ ขปัญหาในระยะยาวใหค้ วามรว่ มมือกับผนู้ าชมุ ชนในการรณรงค์ให้ความรู้เก่ียวกับ
การเกดิ ภาวะมลพิษ สาเหตุ ผลกระทบท่ีเกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข รณรงค์ให้ทุกบ้านมีการบาบัด
น้าทง้ิ จากบา้ นเรือนกอ่ นปลอ่ ยลงแหลง่ น้า รณรงค์การทิ้งขยะให้เป็นท่ีเป็นทางและคัดแยกขยะ ใน
สว่ นตัวของนักเรียนเองจะปฏบิ ัตติ นใหเ้ ปน็ ตัวอยา่ งในการแกป้ ัญหาทกุ ด้านท่สี ามารถทาได้




Benzen và Ankyl Benzen-Hóa Học 11-Thầy Phạm Thanh Tùng


Nhấn Đăng Kí để nhận những video tiếp theo nhé
Nguồn: Tuyensinh247.com

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Benzen và Ankyl Benzen-Hóa Học 11-Thầy Phạm Thanh Tùng

Benzen và đồng đẳng. Một số Hidrocacbon thơm khác – Bài 35 – Hóa 11 – Cô Nguyễn Thị Nhàn (HAY NHẤT)


🔖 Đăng ký khóa học của thầy cô VietJack giá từ 250k tại: https://bit.ly/30CPP9X.
📲Tải app VietJack để xem các bài giảng khác của thầy cô. Link tải: https://vietjack.onelink.me/hJSB/30701ef0
☎️ Hotline hỗ trợ: 084 283 4585
Hóa học 11 Bài 35 Benzen và đồng đẳng. Một số Hidrocacbon thơm khác
Video bài học hôm nay, cô hướng dẫn các em toàn bộ kiến thức trọng tâm bài Benzen và đồng đẳng. Một số Hidrocacbon thơm khác Cùng với đó, cô sẽ giải chi tiết các ví dụ minh họa bằng phương pháp nhanh nhất. Theo dõi bài học cùng cô để học tốt hơn nhé!
Đăng kí mua khóa học của thầy tại: https://m.me/hoc.cung.vietjack
Học trực tuyến tại: https://khoahoc.vietjack.com/
Fanpage: https://www.facebook.com/hoc.cung.vietjack/
vietjack, hoa11, bai35
▶ Danh sách các bài học môn Ngữ văn 11 Cô Thúy Nhàn:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkvfv6Y8G4nfXsmStA5h2lH40
▶ Danh sách các bài học môn Vật lý 11 Thầy Lê Xuân Vượng:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkvcc7Vb6Dn0ZM7d_RTBAyTNl
▶ Danh sách các bài học môn Sinh học 11 Cô Nguyễn Thị Hoài Thu:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkvf0UaWRtEXv4H3C5vwu3SaS
▶ Danh sách các bài học môn Toán học 11 Thầy Lê Thành Đạt:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkvf9RkJKYmFC70RxaehPB9R5
▶ Danh sách các bài học môn Lịch sử 11 Cô Nguyễn Thúy Hảo:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkvcIgv2zNqM5mPloRzjysNtq
▶ Danh sách các bài học môn Vật lý 11 Cô Nguyễn Quyên:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkveJma7LrKfrwgsQOKG3i7Gj
▶ Danh sách các bài học môn Tiếng anh 11 Cô Lê Mai Anh:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkvfVYAG6C0ZGRcMZu15RWFdX
▶ Danh sách các dạng bài tập môn Hoá học 11 Cô Nguyễn Thị Nhàn:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkvcGIFqgvJwjkEjqHTlWtm89
▶ Danh sách các bài học môn Địa lý 11 Cô Vũ Thị Hiên:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkveSbylqMnQxFhf3Z6JIzoSu
▶ Danh sách các bài học môn Hóa học 11 Cô Nguyễn Nhàn:
https://www.youtube.com/playlist?list=PLOVaCZ_HQkvfYfen9Bs_S0zb6jONvFmAS

Benzen và đồng đẳng. Một số Hidrocacbon thơm khác - Bài 35 - Hóa 11 - Cô Nguyễn Thị Nhàn (HAY NHẤT)

การเผาไซโคลเฮกซีน


การเผาไซโคลเฮกซีน

DAIMOKU com 6 FOCOS para a felicidade total – BUDISMO| NAM MYOHO RENGE KYO 大名


VERSÃO COMPLETA AQUI https://www.youtube.com/watch?v=LJLbIacsXs4
DAIMOKU NAMMYOHORENGUEKYO BUDISMONITIRENDAISHONIN

Adicione nossas redes sociais oficiais para ter acesso vip
https://linktr.ee/budismonichirendaishonin
Daimoku Morning or Nigth (lyrics) | Manhã ou noite | Mañana o Noche | 朝か夜
Aprenda durante 15 minutos de DAIMOKU a focar a mente nos 6 focos para a felicidade total:
• criar harmonia familiar.
• conquistar a felicidade.
• vencer as dificuldades.
• manter a boa saúde.
• alcançar a vitória infalível.
• orar pela felicidade de todas as pessoas sem exceção
Assista também em nosso canal, como o budismo trata outros temas, como DEUS, NATAL, FAMÍLIA, BEM ESTAR, SAÚDE ORIGEM DO BUDISMO, ILUMINAÇÃO, ORAÇÃO, MANTRA, DAIMOKU, FÉ, FELICIDADE, BUDA, CAUSA E EFEITO, e outros.
Se você gostou do vídeo de um LIKE comente, de sua opinião, sugestão, ideias para os próximos videos com muito conteúdo e qualidade.

NÃO ESQUEÇA DE SE INSCREVER EM NOSSO CANAL PARA TER ACESSO A VIDEOS EXCLUSIVOS
Inscrevase aqui:
http://www.youtube.com/budismonichirendaishonin?sub_confirmation=1
Instagram: http://www.instagram.com/budismonichirendaishonin
Facebook: http://www.facebook.com/budismodenichirendaishonin

DAIMOKU com 6 FOCOS para a felicidade total - BUDISMO| NAM MYOHO RENGE KYO 大名

Morning Gongyo – Nam Myoho Renge Kyo 🙏🏻


Morning Gongyo - Nam Myoho Renge Kyo 🙏🏻

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆWiki

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ ไซโค ล เฮ ก เซน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *