[Update] เที่ยวอิตาลี ชมเมืองเก่าแสนคลาสสิก เต็มอิ่มทุกการไปเยือน | เมืองในอิตาลี – Australia.xemloibaihat

เมืองในอิตาลี: คุณกำลังดูกระทู้

เที่ยวอิตาลี เมืองท่องเที่ยวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป เมืองที่คุณจะได้สัมผัสความสวยงามของสถาปัตยกรรมแสนคลาสสิก ธรรมชาติที่สวยงาม และผู้คนที่มีชีวิตชีวาอย่างน่าหลงใหล

         

++++++++++++++++++

         

Ciao รีวิวทัวร์ดม เยี่ยมชมเมืองต่าง ๆ ในอิตาลี

          สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวอิตาลีกับกรุ๊ปทัวร์มาฝากกันค่ะ นี่เป็นการไปเที่ยวกับทัวร์ครั้งแรกของเราเลย แอบหวั่น ๆ ได้ยินแต่คนบอกว่ามันคือทัวร์ชะโงก ไม่ได้เจาะลึกหรอก เสียเที่ยวเปล่า ๆ แต่เราก็ยังเลือกจะไปทัวร์เพราะเราไปกับพ่อแม่ ท่านเดินหลงกับเราไม่ไหวแน่ถ้าไปเอง เลยลองดูสักตั้งค่ะ เราขอไม่บอกรายละเอียดว่าทัวร์ไหนยังไงนะคะ เดี๋ยวจะเข้าข่ายโฆษณา ติดตามกันดูนะคะ ว่ามันจะชะโงกกันขนาดไหน

เที่ยวอิตาลี

          https://www.facebook.com/theworldasiseeitbyjung

          มาที่เมืองแรกกันเลยค่ะ “เวนิส”

เที่ยวอิตาลี

          มาถึงตอนบ่าย 2 นะคะ ที่สนามบินเวนิส พื้นสวยมากเลยค่ะ งานวาดคือดีงาม เราก็นั่งเรือต่อมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อไปยังเกาะเวนิส เขาให้เวลาเดินอิสระประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็คิดว่าน่าจะพอไหวนะ ปรากฏว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดินเล่นยังไม่ทั่วเลย เรือกอนโดลาก็ไม่ได้นั่งค่ะ เพราะกลัวไม่ทัน เลยเก็บบรรยากาศมาฝากกันได้แค่นี้นะคะ ก็ยังพอไหวนะ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          เวนิส หรือเวเนเซีย แห่งแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็ก ๆ จำนวน 118 เกาะ เข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเดรียติกในภาคเหนือของประเทศอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          Bridge of Sighs เป็นสะพานเก่าแก่ที่เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเลกับคุกเก่า เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่ตัวคุก สร้างมาจากหินปูนสีขาว มีช่องหน้าต่างให้มองออกมาได้ เพื่อให้นักโทษได้ชมความสวยงามของท้องฟ้าและทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          ร้อนมาก ขอกินไอศกรีมแป๊บนะคะ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          จัตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) นโปเลียน เคยกล่าวไว้ว่า จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark’s Square) “เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป”

          มองไปด้านข้างเราจะพบกับร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เปิดมากว่า 300 ปีแล้ว ร้าน Caffè Florian ส่วนเราไม่ได้เข้าไปนั่งชิลเลยค่ะ แบบมันรีบ เวลาน้อยจริง ๆ

เที่ยวอิตาลี

          บรรยากาศรอบ ๆ เมือง เราถ่ายในขณะที่เราตามหาร้านหนังสือ Libreria Acqua Alta

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          หลงไปรอบหนึ่งกว่าจะเจอ ดีที่เจอคนฟิลิปปินส์ที่ทำงานที่เวนิสเขาช่วยบอกทางให้ค่ะ หายากมาก ตึกมันเป็นซอกหลืบไปหมดเลย … เจอแล้วววววววว ดีใจมาก

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          แล้วตกเย็นทัวร์ก็พาไปชิมสปาเกตตีหมึกดำที่เวนิสกันค่ะ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          จบเมืองเวนิสอย่างสวยงาม

เที่ยวอิตาลี

          วันต่อมาไปดมวิหาร Duomo di Milano กันค่ะ ไกด์เขาจองตั๋วออนไลน์ให้พวกเราได้เข้าชมวิหารโดยที่ไม่ต้องรอคิวนานค่ะ แถวเข้าโบสถ์ยาวมาก

          Duomo di Milano ที่เมืองนี้สร้างในสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน มหาวิหารแห่งนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 400 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ด้านนอกเป็นยอดแหลม ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และเพิ่มความอลังการกว่า 135 ยอด จึงมีชื่อเล่นว่า “มหาวิหารเม่น” มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่าง ๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูปเลยค่ะ ด้านหน้าจะมีรูปปั้นผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี อยู่ด้วยนะคะ

          มิลาน (อังกฤษ : Milan) หรือมีลาโน (อิตาลี: Milano) เป็นเมืองหลักของแคว้นลอมบาร์เดียและเป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเคลต์ คำว่า “Mid-lan” ซึ่งหมายถึงอยู่กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในลักษณะเดียวกับนิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และโรม คือเราเดินไปมารอบ ๆ เมืองเราจะเห็นเลยว่าคนที่นี่แต่งตัวดีมาก เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า สูทนี่เป๊ะปังมากเลยค่ะ บุคลิกแต่ละคนเดินไป-มายังกับนายแบบนางแบบ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          เห็นรอยแหว่งตรงมือของนางฟ้าตรงมุมล่างซ้ายไหมคะ นั่นคือรอยสะเก็ดระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

เที่ยวอิตาลี

          ดีอย่างหนึ่งคือไกด์เค้าจะคอยเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองต่าง ๆ ให้เราฟังไปด้วย ตอนเรานั่งในรถทัวร์ค่ะ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          ติดกันกับ Duomo di Milano คือห้าง The Galleria Vittorio Emanuele II ตั้งตามชื่อกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี ถือเป็นห้างที่เก่าแก่ที่สุดในโลกห้างหนึ่งเลยนะคะ เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1877 หรือร้อยกว่าปีมาแล้ว ในห้างก็เต็มไปด้วยแบรนด์เนมต่าง ๆ

          ครึ่งวันเช้านี้เราไปชมหอเอนเมือง Pisa กันค่ะ

          หอเอนเมืองปิซา (Tower of Pisa) ตั้งอยู่ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก และยังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย ปัจจุบันนี้หอเอนเมืองปิซาลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้ แต่เราว่ารัฐบาลอิตาลีต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้หอเอนพังลงมาแน่นอน

          กาลิเลโอ กาลิเลอี เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่องแรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูก ที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่าลูกบอล 2 ลูก จะตกถึงพื้นพร้อมกัน

เที่ยวอิตาลี

          เราต้องนั่งรถไฟแบบโบราณเข้าไปชมหอเอนนะคะ เพราะรัฐบาลไม่ให้รถนักท่องเที่ยวคันใหญ่ ๆ เข้าไปวิ่งในบริเวณใกล้หอเอนแล้ว เพราะจะมีผลทำให้หอเอนทรุดลงไปอีกได้ ระหว่างที่เรารอรถไฟจะมีคนมาขายร่มลายสถานที่ท่องเที่ยวให้เราค่ะ แม่เราจัดไป 2 คัน 55

          ระหว่างทางเดินไปหอเอนมีการแสดงพี่อินเดียด้วยนะจ๊ะนายจ๋า มาไงเนี่ย #แบบนี้ก็ได้เหรอ

เที่ยวอิตาลี

          เข้าไปกันเลย

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          รูป streetart ด้านบนที่เป็นรูปเลโอนาร์โด ดา วินชี ดำน้ำอยู่เป็นผลงานของ Blub เราชอบมากเลย น่ารักดี ไม่ถึงกับเลอะเทอะผนังเกินไป เราจะไปเจออีกเยอะ ๆ ที่เมือง Florence ค่ะ เต็มเมืองเลยมีแทบทุกมุม
         
          ตอนบ่ายเรามาเที่ยวกันต่อที่ Florence ค่ะ

          ฟลอเรนซ์ (Florence) หรือฟีเรนเซ (Firenze ในภาษาอิตาลี) เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน ในยุคกลางฟลอเรนซ์เป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน เมื่อปี พ.ศ. 2525 ใจกลางเมืองเก่าของฟลอเรนซ์ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของเรเนสซองส์ ที่ได้เติบโตขึ้นภายใต้อิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ใต้การปกครองของตระกูลเมดิชี (Medici) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 รวมไปถึงกิจกรรมทางศิลปะต่าง ๆ ที่ดำเนินไปในช่วง 600 ปี เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากสถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน และอื่น ๆ ในเขตเมืองเก่าฟลอเรนซ์ . ..

          ฟลอเรนซ์ สำหรับเราเป็นเมืองที่น่าสนใจมากเพราะเราชอบชื่อ ชื่อมันเก๋ดีอะ…ฟลอเรนซ์ แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ นอกจากนี้เรายังชื่นชอบ ชื่นชม และอยากรู้จักเมืองนี้มาก ๆ เพราะเป็นบ้านเกิดของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี หรือ “บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย” ศาสตราจารย์ศิลป์ เป็นประติมากรชาวอิตาเลียน ชื่ออิตาเลียนของท่านคือ Corrado Feroci อ.ศิลป์ ได้เข้ามารับราชการในประเทศไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) และได้สร้างผลงานทางศิลปะต่าง ๆ ไว้มากมายให้แก่ประเทศของเรา เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วย

         เราไปยังที่แรกกันเลยค่ะ มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) หรืออาสนวิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร (Basilica di Santa Maria del Fiore) สร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ออกแบบโดยฟีลิปโป บรูเนลเลสกี ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว และชมพู

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          เราเดินผ่านมาเจองานแสดงของ Klimt พอดีเลยแวะเข้าไปดูซะหน่อย พยายามจะอาร์ต

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          เข้ามานั่งปุ๊บ ดูไปดูมาเหมือนตัวเองลอยขึ้นเรื่อย ๆ เรานั่งอยู่กับแม่ แม่บอกเวียนหัว เรากับแม่เลยรีบออกมา คือมันจะมีจอซ้ายขวาเป็นภาพเคลื่อนไหวลอยขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราลอยไปด้วย ดูนิทรรศการภาพของ Klimt ไปด้วย ประชากรชาวไทยแบบเรากับแม่ที่ไม่คุ้นเคยกับนิทรรศการแบบนี้วิ่งออกมาแทบไม่ทัน ก่อนจะอ้วกในห้อง มึนหัวมากเลยค่า T-T

          รอบ ๆ เมืองฟลอเรนซ์จะมีงาน Streetart น่ารัก ๆ อยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ น่ารักดีอะ มันไม่เลอะเทอะเกินไป มันกำลังพอดี น่ารัก ๆ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          ดูงานเพิ่มเติมใน IG ของศิลปินท่านนี้ Blubuomo ได้ที่

          มาถึงจัตุรัสกลางเมือง เราก็จะพบกับรูปปั้นเต็มไปหมดเลยค่ะ

          รูปปั้นเดวิดจำลอง

เที่ยวอิตาลี

          รูปปั้น Perseus สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1554 โดย Cellini เป็นรูปปั้นของเทพเจ้า Perseus เอาชนะศัตรูด้วยการตัดหัวของนาง Medusa เหมือนว่าสมัยนั้นทหารโรมเข้ามาฆ่าผู้คน เอาผู้หญิงไปข่มขืน ศิลปินคงต้องการให้เห็นความโหดของทหารโรม

เที่ยวอิตาลี

          The Rape of Sabine Woman ของ Giambologna เป็นรูปปั้นของเทวดาไล่ตามจับนางฟ้า เขาว่ากันว่ารูปปั้นนี้ศิลปินพยายามอ้างถึงเหตุการณ์สำคัญในตำนาน ที่เหล่าทหารได้รับอนุญาตจากพระราชาให้ไปฉุดสาว ๆ มาสร้างกรุงโรมให้สมบูรณ์ เนื่องจากกรุงโรมในยุคที่สร้างขึ้นใหม่เอี่ยม ยิ่งใหญ่ แต่ขาดแคลนหญิงสาว และผู้ที่จะเป็นมารดาของบุตรธิดาในอนาคต รูปปั้นนี้มีชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งคือความสมจริงในงานปั้น เพราะเมื่อมองไปด้านหลังจะเห็นรอยบุ๋มของก้นผู้หญิงเลยจากการจับของผู้ชาย เราไปมองมาเหมือนกันค่ะ บุ๋มเลยจริง ๆ ปั้นเก่งมาก แต่ถ่ายมาไม่ทันเพราะมันย้อนแสง ดูด้านหน้าแทนแล้วกันนะคะ

เที่ยวอิตาลี

          เดินไปรอบ ๆ เมืองที่น่ารักแห่งนี้

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          เดินมาเรื่อย ๆ เราจะพบกับสะพานปอนเต เวชชิโอ (Ponte Vecchio) สะพานเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการสัญจรข้ามแม่น้ำอาร์โน โดยบนสะพานนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารร้านค้า ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะ อัญมณี และของที่ระลึกจำนวนมาก

เที่ยวอิตาลีเที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          เดินจนเมื่อยขาแล้วขอกินไอศกรีมอันเลื่องชื่อของอิตาลีสักหน่อยค่ะ รสไหนดีน้า

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          อร่อยมากกกกกกที่สุดเท่าที่เคยกินไอศกรีมมาเลยค่ะ ร้าน Caffe Firenze !!

          ลืมบอกไป เราเดินผ่านมหาลัยของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ด้วยค่ะ แต่นี่ถ่ายรูปของมหาลัยที่ติดกันมา สวยดี

เที่ยวอิตาลี

          บริเวณนี้คือแถว ๆ มหาวิทยาลัยของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นชาวเมืองฟลอเรนซ์โดยกำเนิด แต่ได้เข้ามารับราชการในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 6 และได้สร้างผลงานทางศิลปะต่าง ๆ ไว้มากมาย ที่รู้จักกันอย่างเช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นอาจารย์สอนวิชาศิลปะที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม ต่อมาในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้นคือพระยาอนุมานราชธน ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรและตราพระราชบัญญัติ ยกฐานะโรงเรียนศิลปากรขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร

          ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ยังเป็นอาจารย์ของศิลปินไทยชื่อดังอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี อีกด้วย ท่านทรงคุณูปการต่อวงการศิลปะไทยอย่างยิ่งยวดเลยนะคะ จึงได้รับการขนานนามให้เป็น บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย

          วันถัดมาเราไปเยี่ยมชมเมืองซานจีมิญญาโนกันค่ะ
         
          San Gimignano เป็นเมืองเล็ก ๆ บนเนินเขา ตั้งอยู่ในแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี ซานจีมิญญาโนเป็นเมืองที่ยังรักษาลักษณะเมืองในยุคกลางไว้อย่างพร้อมมูล โดยเฉพาะหอคอยซึ่งจะมองเห็นได้แต่ไกล ตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินสูงล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง ตามลักษณะที่ยังพบในหลายเมืองและหมู่บ้านในบริเวณแคว้นทัสคานี เมืองซานจีมิญญาโนได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก World heritage site เมื่อปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ในเรื่องของความปราดเปรื่องของมนุษย์ในด้านการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนบนพื้นที่เนินเขาชันมาตั้งแต่สมัยโบราณ

          ส่วนตัวเราชอบเมืองนี้มากเลยระหว่างเดินไป-มาเราถูกล้อมไปด้วยตึกเก่า ๆ มีความหลงยุคเบา ๆ หลุดไปอีกบรรยากาศหนึ่งเลยค่ะ

เที่ยวอิตาลี

          ประตูทางเข้าของเมืองโค้งสวยมากเลยค่ะ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          กินไอศกรีมอีกละ แฮ่ ๆ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          แล้วเราก็มาต่อกันที่เมือง Siena เป็นอีกเมืองที่เราชอบมาก น่ารักกกกกก

          เซียนา เป็นเมืองที่เราชอบมาก ๆ อีกเมืองหนึ่งในทริปนี้ คือมันน่ารักดีอะ เดินเล่นตามซอกหลืบต่าง ๆ ของเมือง อีกอย่างที่เราชอบคือสถาปัตยกรรม ภายในโบสถ์ประจำเมืองที่เป็นลายขวางขาว-ดำ คือมันเป็นลายอมตะและทันสมัยมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอะไรบรรยายเยอะนะคะ มาเดินเล่นไปในเมืองนี้ด้วยกันค่ะ

          เมืองเซียนาเป็นเมืองยุคกลางที่ถือว่าเป็นคู่แข่งของเมืองฟลอเรนซ์ เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกเมืองของประเทศอิตาลี เมืองที่มีชื่อเสียงทางศิลปะและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะบริเวณใจกลางเมืองเก่าของเมืองเซียนาซึ่งเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ เมืองเซียนายังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี ค.ศ. 1995

เที่ยวอิตาลี

          มาจุดแรกกันเลยค่ะ เปียซซา เดล คัมโป (Piazza del Campo) พื้นที่จัตุรัสหลักที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองเซียนา ทั้งยังได้รับการยอมรับว่าเป็นจัตุรัสยุคกลางที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          ต่อมาไปกันที่ Duomo di Siena

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          มาดูบรรยากาศรอบ ๆ เมืองกันค่ะ น่ารักมากกกกกก เราชอบบบบบบบสุด ๆ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          ปิดท้ายทริปนี้กันที่โรมและนครวาติกันนะคะ

          ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม เคยได้ยินคำนี้กันไหมคะ คำนี้มีที่มาจากในสมัยยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง เมืองเล็กเมืองน้อยต่าง ๆ ต้องเข้ามาติดต่อกิจการงานทั้งหลายที่กรุงโรม ดังนั้นไม่ว่าเมืองเล็กเมืองน้อยจากทุกสารทิศ เลยต้องมีถนนเชื่อมเข้ามาสู่กรุงโรม หรืออีกนัยหนึ่ง “All roads lead to Rome” หมายถึงการทำบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ไปถึงจุดมุ่งหมายเดียวกัน เราว่าโรมเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เมืองหนึ่งเลยนะ มีเอกลักษณ์และก็รักษามันไว้ได้เป็นอย่างดี มีพิพิธภัณฑ์ซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด ตามท้องถนน มุมถนนก็จะมีรูปปั้นสวย ๆ อยู่เต็มไปหมดเลย

          Rome เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ นอกจากนี้โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย

เที่ยวอิตาลี

          มาที่แรกกันเลยค่ะ โคลอสเซียม (Colosseum) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และยังเป็นต้นแบบอัฒจันทร์ของสนามกีฬาทั้งหลายในยุคปัจจุบัน ทัวร์เรามีเวลาจำกัดนะคะ เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในเลย เราเลือกที่จะเดินเข้าไปในเมือง มีบางท่านที่เลือกเข้าโคลอสเซียมก็จะไม่ได้เดินเข้าไปชมข้างในค่ะ ได้ดูแค่นี้

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          โคลอสเซียม เป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และยังมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตกอีกด้วยนะคะ

          เหมือนที่เราเคยเห็นในหนังเรื่อง Gladiator ส่วนใหญ่คนที่มาสู้รบโชว์ที่โคลอสเซียมจะเป็นทาสและเชลยสงครามโทษประหารชีวิต จักรพรรดิจะนำมาต่อสู้กันเอง เพื่อความสนุกสนาน สู้จนเหลือนักสู้ยอดฝีมือเพียงคนเดียว เพื่อแลกกับอิสรภาพกลับ คือสู้ตายอะค่ะ ไม่สู้ก็ตายอยู่ดี ทางเดียวคือสู้เพื่อเอาชีวิตรอด บางทีเขาก็จะให้สู้กับสัตว์ที่ดุร้ายบ้าง คนสมัยโบราณเขาไม่มีทีวีดูเพื่อความเพลิดเพลินเหมือนเรา ดูแบบนี้เขาคงเร้าใจกันน่าดู !!

          เดินถัดมาจากโคลอสเซียมไม่ไกลเราจะเจอกับ Roman Forum บริเวณนี้เป็นบริเวณศูนย์กลางของการวิวัฒนาการของวัฒนธรรมโรมันในอดีต

          ในสมัยที่โรมันเรืองอำนาจที่นี่คือศูนย์กลางด้านธุรกิจการค้า ศาสนา และการเมือง คนโรมันชอบนั่งสนทนาปัญหาบ้านเมืองกันที่นี่ คำว่า Forum จึงเป็นรากฐานของคำภาษาอังกฤษที่แปลว่าการประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็นกันนั่นเองค่ะ

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          เดินต่ออีกนิดหน่อยเราก็จะพบกับอนุสาวรีย์พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเล ที่ 2 แห่งอิตาลี เป็นพระมหากษัตริย์อิตาลีพระองค์แรก หลังจากสามารถรวบรวมรัฐต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวและสถาปนาราชอาณาจักรอิตาลีได้สำเร็จ

เที่ยวอิตาลี

          มีรถม้าให้บริการพาชมรอบเมืองด้วยนะคะ ที่เห็นด้านหลังโบสถ์สวย ๆ นี่คือ Santa Maria di Loreto ที่สร้างมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 16

เที่ยวอิตาลี

          สถานีต่อไปบันไดสเปน หรือ The Spanish Steps ที่มาของชื่อบันไดสเปนคือเมื่อก่อนสถานทูตประเทศสเปนเคยอยู่แถวนี้ค่ะ บันไดสเปนดังขึ้นมามาก ๆ เพราะหนังเรื่อง Roman Holidays หรือโรมันรำลึก ของ Audrey Hepburn นี่เองค่ะ (ดูเพิ่มเติมได้ที่

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          คือจริง ๆ มันก็แค่บันไดกว้าง ๆ ให้คนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจนะคะ ด้านหน้าบันไดคือแหล่งช้อปปิ้งของแบรนด์เนมทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง

          ในปี ค.ศ. 1986 McDonalds สาขาแรกในอิตาลีมาเปิดใกล้ ๆ กับบันไดสเปนนี้ค่ะ แต่มีการประท้วงต่อต้าน Fast Food ที่นี่ ทำให้เกิด Carlo Petrini ซึ่งเป็นนักชิมตัวยงและเป็นนักเคลื่อนไหวด้านอาหาร (Food activist) ก่อตั้ง International Slow Food Movement ใน 3 ปีต่อมา ลองคิดตามว่ามี McDonals ข้าง ๆ  บันไดสเปนจริง ๆ ความคลาสสิกมันหายไปเลยจริง ๆ นะ คนอิตาลีเขาอนุรักษ์วิถีของเขาได้เยี่ยมไปเลยนะคะ

          ระหว่างรอคณะทัวร์คนอื่น ๆ เราก็เหลือบไปด้านหลังตรงจุดนัดพบ เจอกับพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เราเลยแวบเข้าไปดูเพื่อไม่ให้เสียเวลา โดยที่ไม่รู้เลยว่าคือพิพิธภัณฑ์อะไร ตามมาดูกันค่ะ ระหว่างทางขึ้นจะมีรูปเก่า ๆ แปะอยู่ที่ฝาผนังโดยรอบ พอเข้าไปด้านในเราเจอห้องสมุดแบบโบราณที่เต็มไปด้วยหนังสือ หูย สวยคลาสสิกมาก ๆ เลยค่ะ ทั้งพิพิธภัณฑ์มีเราคนเดียวเลย

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          ทางเข้ามีแต่ประตูเก่า ๆ บานเดียว ยาวลึกลงไป ขึ้นบันไดวนไปตรงชั้น 2 จะเจอที่ขายตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ และร้านขายหนังสือ ขายของที่ระลึก เราก็ซื้อตั๋วเข้าไปชมค่ะ 5 ยูโร

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          แล้วเราก็เดินเข้าไปด้านใน พบกับห้องนอนเล็ก ๆ ผนังสีน้ำเงินตุ่น ๆ อยู่ตรงมุมขวา มีเตียงและเฟอร์นิเจอร์วางไว้เหมือนว่ายังมีคนอาศัยอยู่ เราเดินดูห้องรอบ ๆ มีจดหมายเก่า ๆ อยู่รอบไปหมด

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          พอเราจะออกจากห้อง เจอป้ายเขียนว่า “John Keats เสียชีวิตในห้องนี้ เมื่อปี 1821” ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที !!!!!! จะเจออะไรไหมเนี่ย มาคนเดียวจ้า ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้จักอยู่ดีว่า John Keats คือใคร

          พอเดินดูรอบ ๆ เสร็จเราก็เลยแวะกลับไปที่ร้านขายของที่ระลึก มีหนังสือบทกวีที่เป็นผลงานของ John Keats และหนังสืออื่น ๆ โปสการ์ดและของที่ระลึกมากมายวางขาย เราก็เจอกับแผ่นคำกลอน ที่เป็นผลงานของ John Keats สะดุดมากกับคำประโยคนี้ของเขา “Love is my religion, I could die for it. John Keats” สมัยก่อนโน้นเขานับถือพระเจ้ากัน พี่แกเน้นความรักเลยจ้า ประโยคนี้เป็นประโยคในจดหมายที่ John Keats เขียนถึง Fanny Brawne คู่หมั้นของเขา ในปี 1819 หรือ 200 กว่าปีมาแล้ว หูย…โรแมนติกไปอีก

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          จริง ๆ แล้ว John Keats เป็นคนอังกฤษแต่ต้องมาอาศัยอยู่ที่โรมเพราะป่วยเป็นวัณโรค แล้วหมอแนะนำให้มาอาศัยอยู่ในที่อากาศร้อนหน่อยจะดีกว่า แต่ในที่สุดเขาก็ไม่หายและเสียชีวิตอยู่ในห้องนอนในวัยเพียง 23 ปี ที่กลายมาเป็นในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นเองค่ะ

          ใครผ่านมาแถวบันไดสเปนอยากชวนให้ลองแวะไปที่พิพิธภัณฑ์นี้สักหน่อยนะคะ ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ อยู่ตึกฝั่งทางขวาของบันไดสเปน

          มาต่อกันที่ น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) เป็นน้ำพุแบบบารอคที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม มีตำนานว่าเจ้าหน้าที่โรมันพบแหล่งน้ำสะอาดราว 13 กิโลเมตรจากตัวเมือง ในช่วงสงครามที่บ้านเมืองกำลังขาดแคลนน้ำสะอาด โดยความช่วยเหลือของหญิงสาว (ภาพนี้ปรากฏอยู่ด้านหน้าของน้ำพุปัจจุบัน)

เที่ยวอิตาลี

          เขาว่ากันว่าหันหลังแล้วโยนเหรียญลงไปในน้ำตกนี้เพื่อให้ได้กลับมาที่โรมอีกครั้ง แต่เราไม่ได้โยนนะคะ อยากมาก็มา เก็บตังค์มา 555

          กินไอศกรีมทุกวัน พูดเลย !

เที่ยวอิตาลี

          เราสังเกตว่าไปในทุกเมืองของอิตาลีจะมีตุ๊กตาพินอคคิโอ (Pinocchio) อยู่ตลอด ๆ เลยค่ะ นั่นเป็นเพราะว่าพินอคคิโอเป็นวรรณกรรมเยาวชนของชาวอิตาเลียนขนานแท้ ผลงานของ การ์โล กอลโลดี (Carlo Collodi) นักประพันธ์ชาวอิตาเลียน

          พินอคคิโอ เป็นเรื่องราวการผจญภัยของหุ่นไม้ที่มีชีวิต กับพ่อผู้ยากจนของเขาซึ่งเป็นช่างไม้ พินอคคิโอมีลักษณะเด่นที่รู้จักกันดีก็คือเมื่อพูดโกหกจมูกของเขาจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ

เที่ยวอิตาลี

          ปิดท้ายทริปนี้กันที่นครรัฐวาติกัน จัดได้ว่าเป็นประเทศเอกราชหรือรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก เวลาช่างน้อยนิดได้แค่สูดดมกลิ่นของเมืองนี้ คิวเข้าไปข้างใน Vatican Museum ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกก เลยได้แค่เดินชมรอบ ๆ ค่ะ

          ในสมัยก่อนองค์สันตะปาปามีอำนาจและบารมีมาก จากศรัทธาอันแรงกล้าของผู้คนชาวยุโรปที่มีต่อประมุขทางศาสนาของพวกเขา จนทำให้องค์สันตะปาปาสามารถครอบครองดินแดนตอนกลางของอิตาลีไว้ทั้งหมด รวมเรียกว่าปาปาสเตท และมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ “วาติกัน” กลางกรุงโรม

เที่ยวอิตาลี

          การที่พระสันตะปาปามีอำนาจทางโลกล้นฟ้าและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมากเกินไปนี่เอง ทำให้กลุ่มอำนาจรัฐในยุโรปหลายแห่งจึงเริ่มที่จะต่อต้านพระองค์ เพื่อลิดรอนอำนาจของพระองค์ท่านลง 

          จนกระทั่งมาถึงปี ค.ศ. 1929 ในสมัยนายกอิตาลีที่ชื่อ มุสโสลินี แกเลยเสนอไปยังโป๊ปด้วยข้อเสนอ คือ รัฐบาลอิตาลียอมยกดินแดนให้เป็นประเทศ Vatican และให้เงินไปสร้างประเทศ แต่ประมุขแห่ง Vatican ต้องเป็นกลางทางการเมืองและสงคราม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Vatican จึงกลายเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ มีเมืองหลวงคือกรุงวาติกัน

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี

          เนื่องจากกรุงวาติกันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์ทั่วโลก ทั้งยังเป็นที่ประทับขององค์สันตะปาปาหรือ โป๊ป ผู้นำสูงสุดของศาสนาคริสต์ จึงจำเป็นมากที่จะต้องมีการดูแลอารักขาอย่างดี ทางวาติกันจึงว่าจ้างทหารจากสวิตเซอร์แลนด์หรือสวิสการ์ดมาทำหน้าที่นี้ ทำไมต้องเป็นชาวสวิส นั่นเป็นเพราะชาวสวิสมีชื่อเสียงเรื่องความเก่งกาจ และโดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้ว่าจ้าง และสามารถเก็บความลับทุกอย่างไว้ได้อย่างดี ทางวาติกันจึงว่าจ้างทหารสวิตเซอร์แลนด์มาประจำการอยู่ในนครรัฐวาติกัน เพื่อทำหน้าที่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลามากกว่า 500 ปีแล้ว คุณสมบัติของสวิสการ์ดคือต้องเป็นชาวสวิสโดยกำเนิด นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และต้องมีอายุไม่เกิน 30 ปี สูง 175 เซนติเมตรขึ้นไป

          กลับละจ้า

เที่ยวอิตาลี

          สรุปการรีวิวทัวร์ดมของเรานะคะ มันก็ไม่ได้แย่มากขนาดนั้น เพราะถ้าเรามาเองด้วยเวลาเท่านี้ หลงไป-มาแน่นอน สบายตรงที่ไม่ต้องวางแผนอะไรมาก และได้ไปดม เอ๊ย ! ชมเมืองต่าง ๆ เยอะ หลายเมืองขนาดนี้ก็โอเคค่ะ เราพอรับได้ แต่ถ้าอยากไปเจาะลึกเดินชิล ๆ เข้าพิพิธภัณฑ์เยอะ ๆ ไปเองดีกว่าค่ะ ยังมีหลายเมืองที่เสียดาย อยากอยู่นาน ๆ กว่านี้ เลือกเอาตามอัธยาศัยค่ะ ลาไปเท่านี้นะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวอิตาลีกับกรุ๊ปทัวร์มาฝากกันค่ะ นี่เป็นการไปเที่ยวกับทัวร์ครั้งแรกของเราเลย แอบหวั่น ๆ ได้ยินแต่คนบอกว่ามันคือทัวร์ชะโงก ไม่ได้เจาะลึกหรอก เสียเที่ยวเปล่า ๆ แต่เราก็ยังเลือกจะไปทัวร์เพราะเราไปกับพ่อแม่ ท่านเดินหลงกับเราไม่ไหวแน่ถ้าไปเอง เลยลองดูสักตั้งค่ะ เราขอไม่บอกรายละเอียดว่าทัวร์ไหนยังไงนะคะ เดี๋ยวจะเข้าข่ายโฆษณา ติดตามกันดูนะคะ ว่ามันจะชะโงกกันขนาดไหนเราลงรูปไม่เยอะนะคะ เพราะไม่งั้นกระทู้จะยาวมาก เพราะไปหลายเมือง ติดตามรูปเต็ม ๆ เป็นอัลบั้มตามเมืองต่าง ๆ ได้ที่เพจนี้นะคะมาถึงตอนบ่าย 2 นะคะ ที่สนามบินเวนิส พื้นสวยมากเลยค่ะ งานวาดคือดีงาม เราก็นั่งเรือต่อมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อไปยังเกาะเวนิส เขาให้เวลาเดินอิสระประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็คิดว่าน่าจะพอไหวนะ ปรากฏว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดินเล่นยังไม่ทั่วเลย เรือกอนโดลาก็ไม่ได้นั่งค่ะ เพราะกลัวไม่ทัน เลยเก็บบรรยากาศมาฝากกันได้แค่นี้นะคะ ก็ยังพอไหวนะเวนิส หรือเวเนเซีย แห่งแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็ก ๆ จำนวน 118 เกาะ เข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเดรียติกในภาคเหนือของประเทศอิตาลีBridge of Sighs เป็นสะพานเก่าแก่ที่เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเลกับคุกเก่า เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่ตัวคุก สร้างมาจากหินปูนสีขาว มีช่องหน้าต่างให้มองออกมาได้ เพื่อให้นักโทษได้ชมความสวยงามของท้องฟ้าและทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตร้อนมาก ขอกินไอศกรีมแป๊บนะคะจัตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) นโปเลียน เคยกล่าวไว้ว่า จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark’s Square) “เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป”มองไปด้านข้างเราจะพบกับร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เปิดมากว่า 300 ปีแล้ว ร้าน Caffè Florian ส่วนเราไม่ได้เข้าไปนั่งชิลเลยค่ะ แบบมันรีบ เวลาน้อยจริง ๆบรรยากาศรอบ ๆ เมือง เราถ่ายในขณะที่เราตามหาร้านหนังสือ Libreria Acqua Altaหลงไปรอบหนึ่งกว่าจะเจอ ดีที่เจอคนฟิลิปปินส์ที่ทำงานที่เวนิสเขาช่วยบอกทางให้ค่ะ หายากมาก ตึกมันเป็นซอกหลืบไปหมดเลย … เจอแล้วววววววว ดีใจมากแล้วตกเย็นทัวร์ก็พาไปชิมสปาเกตตีหมึกดำที่เวนิสกันค่ะจบเมืองเวนิสอย่างสวยงามวันต่อมาไปดมวิหาร Duomo di Milano กันค่ะ ไกด์เขาจองตั๋วออนไลน์ให้พวกเราได้เข้าชมวิหารโดยที่ไม่ต้องรอคิวนานค่ะ แถวเข้าโบสถ์ยาวมากDuomo di Milano ที่เมืองนี้สร้างในสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน มหาวิหารแห่งนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 400 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ด้านนอกเป็นยอดแหลม ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และเพิ่มความอลังการกว่า 135 ยอด จึงมีชื่อเล่นว่า “มหาวิหารเม่น” มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่าง ๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูปเลยค่ะ ด้านหน้าจะมีรูปปั้นผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี อยู่ด้วยนะคะเป็นเมืองหลักของแคว้นลอมบาร์เดียและเป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเคลต์ คำว่า “Mid-lan” ซึ่งหมายถึงอยู่กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในลักษณะเดียวกับนิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และโรม คือเราเดินไปมารอบ ๆ เมืองเราจะเห็นเลยว่าคนที่นี่แต่งตัวดีมาก เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า สูทนี่เป๊ะปังมากเลยค่ะ บุคลิกแต่ละคนเดินไป-มายังกับนายแบบนางแบบเห็นรอยแหว่งตรงมือของนางฟ้าตรงมุมล่างซ้ายไหมคะ นั่นคือรอยสะเก็ดระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ดีอย่างหนึ่งคือไกด์เค้าจะคอยเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองต่าง ๆ ให้เราฟังไปด้วย ตอนเรานั่งในรถทัวร์ค่ะติดกันกับ Duomo di Milano คือห้าง The Galleria Vittorio Emanuele II ตั้งตามชื่อกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี ถือเป็นห้างที่เก่าแก่ที่สุดในโลกห้างหนึ่งเลยนะคะ เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1877 หรือร้อยกว่าปีมาแล้ว ในห้างก็เต็มไปด้วยแบรนด์เนมต่าง ๆหอเอนเมืองปิซา (Tower of Pisa) ตั้งอยู่ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก และยังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย ปัจจุบันนี้หอเอนเมืองปิซาลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้ แต่เราว่ารัฐบาลอิตาลีต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้หอเอนพังลงมาแน่นอนกาลิเลโอ กาลิเลอี เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่องแรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูก ที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่าลูกบอล 2 ลูก จะตกถึงพื้นพร้อมกันเราต้องนั่งรถไฟแบบโบราณเข้าไปชมหอเอนนะคะ เพราะรัฐบาลไม่ให้รถนักท่องเที่ยวคันใหญ่ ๆ เข้าไปวิ่งในบริเวณใกล้หอเอนแล้ว เพราะจะมีผลทำให้หอเอนทรุดลงไปอีกได้ ระหว่างที่เรารอรถไฟจะมีคนมาขายร่มลายสถานที่ท่องเที่ยวให้เราค่ะ แม่เราจัดไป 2 คัน 55ระหว่างทางเดินไปหอเอนมีการแสดงพี่อินเดียด้วยนะจ๊ะนายจ๋า มาไงเนี่ย #แบบนี้ก็ได้เหรอเข้าไปกันเลยรูป streetart ด้านบนที่เป็นรูปเลโอนาร์โด ดา วินชี ดำน้ำอยู่เป็นผลงานของ Blub เราชอบมากเลย น่ารักดี ไม่ถึงกับเลอะเทอะผนังเกินไป เราจะไปเจออีกเยอะ ๆ ที่เมือง Florence ค่ะ เต็มเมืองเลยมีแทบทุกมุมฟลอเรนซ์ (Florence) หรือฟีเรนเซ (Firenze ในภาษาอิตาลี) เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน ในยุคกลางฟลอเรนซ์เป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน เมื่อปี พ.ศ. 2525 ใจกลางเมืองเก่าของฟลอเรนซ์ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของเรเนสซองส์ ที่ได้เติบโตขึ้นภายใต้อิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ใต้การปกครองของตระกูลเมดิชี (Medici) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 รวมไปถึงกิจกรรมทางศิลปะต่าง ๆ ที่ดำเนินไปในช่วง 600 ปี เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากสถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน และอื่น ๆ ในเขตเมืองเก่าฟลอเรนซ์ . ..ฟลอเรนซ์ สำหรับเราเป็นเมืองที่น่าสนใจมากเพราะเราชอบชื่อ ชื่อมันเก๋ดีอะ…ฟลอเรนซ์ แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ นอกจากนี้เรายังชื่นชอบ ชื่นชม และอยากรู้จักเมืองนี้มาก ๆ เพราะเป็นบ้านเกิดของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี หรือ “บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย” ศาสตราจารย์ศิลป์ เป็นประติมากรชาวอิตาเลียน ชื่ออิตาเลียนของท่านคือ Corrado Feroci อ.ศิลป์ ได้เข้ามารับราชการในประเทศไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) และได้สร้างผลงานทางศิลปะต่าง ๆ ไว้มากมายให้แก่ประเทศของเรา เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วยเราไปยังที่แรกกันเลยค่ะ มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) หรืออาสนวิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร (Basilica di Santa Maria del Fiore) สร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ออกแบบโดยฟีลิปโป บรูเนลเลสกี ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว และชมพูเราเดินผ่านมาเจองานแสดงของ Klimt พอดีเลยแวะเข้าไปดูซะหน่อย พยายามจะอาร์ตเข้ามานั่งปุ๊บ ดูไปดูมาเหมือนตัวเองลอยขึ้นเรื่อย ๆ เรานั่งอยู่กับแม่ แม่บอกเวียนหัว เรากับแม่เลยรีบออกมา คือมันจะมีจอซ้ายขวาเป็นภาพเคลื่อนไหวลอยขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราลอยไปด้วย ดูนิทรรศการภาพของ Klimt ไปด้วย ประชากรชาวไทยแบบเรากับแม่ที่ไม่คุ้นเคยกับนิทรรศการแบบนี้วิ่งออกมาแทบไม่ทัน ก่อนจะอ้วกในห้อง มึนหัวมากเลยค่า T-Tรอบ ๆ เมืองฟลอเรนซ์จะมีงาน Streetart น่ารัก ๆ อยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ น่ารักดีอะ มันไม่เลอะเทอะเกินไป มันกำลังพอดี น่ารัก ๆดูงานเพิ่มเติมใน IG ของศิลปินท่านนี้ Blubuomo ได้ที่ https://www.instagram.com/lartesanuotare/ นะคะมาถึงจัตุรัสกลางเมือง เราก็จะพบกับรูปปั้นเต็มไปหมดเลยค่ะรูปปั้นเดวิดจำลองรูปปั้น Perseus สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1554 โดย Cellini เป็นรูปปั้นของเทพเจ้า Perseus เอาชนะศัตรูด้วยการตัดหัวของนาง Medusa เหมือนว่าสมัยนั้นทหารโรมเข้ามาฆ่าผู้คน เอาผู้หญิงไปข่มขืน ศิลปินคงต้องการให้เห็นความโหดของทหารโรมThe Rape of Sabine Woman ของ Giambologna เป็นรูปปั้นของเทวดาไล่ตามจับนางฟ้า เขาว่ากันว่ารูปปั้นนี้ศิลปินพยายามอ้างถึงเหตุการณ์สำคัญในตำนาน ที่เหล่าทหารได้รับอนุญาตจากพระราชาให้ไปฉุดสาว ๆ มาสร้างกรุงโรมให้สมบูรณ์ เนื่องจากกรุงโรมในยุคที่สร้างขึ้นใหม่เอี่ยม ยิ่งใหญ่ แต่ขาดแคลนหญิงสาว และผู้ที่จะเป็นมารดาของบุตรธิดาในอนาคต รูปปั้นนี้มีชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งคือความสมจริงในงานปั้น เพราะเมื่อมองไปด้านหลังจะเห็นรอยบุ๋มของก้นผู้หญิงเลยจากการจับของผู้ชาย เราไปมองมาเหมือนกันค่ะ บุ๋มเลยจริง ๆ ปั้นเก่งมาก แต่ถ่ายมาไม่ทันเพราะมันย้อนแสง ดูด้านหน้าแทนแล้วกันนะคะเดินไปรอบ ๆ เมืองที่น่ารักแห่งนี้เดินมาเรื่อย ๆ เราจะพบกับสะพานปอนเต เวชชิโอ (Ponte Vecchio) สะพานเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการสัญจรข้ามแม่น้ำอาร์โน โดยบนสะพานนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารร้านค้า ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะ อัญมณี และของที่ระลึกจำนวนมากเดินจนเมื่อยขาแล้วขอกินไอศกรีมอันเลื่องชื่อของอิตาลีสักหน่อยค่ะ รสไหนดีน้าอร่อยมากกกกกกที่สุดเท่าที่เคยกินไอศกรีมมาเลยค่ะ ร้าน Caffe Firenze !!ลืมบอกไป เราเดินผ่านมหาลัยของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ด้วยค่ะ แต่นี่ถ่ายรูปของมหาลัยที่ติดกันมา สวยดีบริเวณนี้คือแถว ๆ มหาวิทยาลัยของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นชาวเมืองฟลอเรนซ์โดยกำเนิด แต่ได้เข้ามารับราชการในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 6 และได้สร้างผลงานทางศิลปะต่าง ๆ ไว้มากมาย ที่รู้จักกันอย่างเช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นอาจารย์สอนวิชาศิลปะที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม ต่อมาในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้นคือพระยาอนุมานราชธน ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรและตราพระราชบัญญัติ ยกฐานะโรงเรียนศิลปากรขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากรศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ยังเป็นอาจารย์ของศิลปินไทยชื่อดังอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี อีกด้วย ท่านทรงคุณูปการต่อวงการศิลปะไทยอย่างยิ่งยวดเลยนะคะ จึงได้รับการขนานนามให้เป็น บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทยSan Gimignano เป็นเมืองเล็ก ๆ บนเนินเขา ตั้งอยู่ในแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี ซานจีมิญญาโนเป็นเมืองที่ยังรักษาลักษณะเมืองในยุคกลางไว้อย่างพร้อมมูล โดยเฉพาะหอคอยซึ่งจะมองเห็นได้แต่ไกล ตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินสูงล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง ตามลักษณะที่ยังพบในหลายเมืองและหมู่บ้านในบริเวณแคว้นทัสคานี เมืองซานจีมิญญาโนได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก World heritage site เมื่อปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ในเรื่องของความปราดเปรื่องของมนุษย์ในด้านการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนบนพื้นที่เนินเขาชันมาตั้งแต่สมัยโบราณส่วนตัวเราชอบเมืองนี้มากเลยระหว่างเดินไป-มาเราถูกล้อมไปด้วยตึกเก่า ๆ มีความหลงยุคเบา ๆ หลุดไปอีกบรรยากาศหนึ่งเลยค่ะประตูทางเข้าของเมืองโค้งสวยมากเลยค่ะกินไอศกรีมอีกละ แฮ่ ๆเซียนา เป็นเมืองที่เราชอบมาก ๆ อีกเมืองหนึ่งในทริปนี้ คือมันน่ารักดีอะ เดินเล่นตามซอกหลืบต่าง ๆ ของเมือง อีกอย่างที่เราชอบคือสถาปัตยกรรม ภายในโบสถ์ประจำเมืองที่เป็นลายขวางขาว-ดำ คือมันเป็นลายอมตะและทันสมัยมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอะไรบรรยายเยอะนะคะ มาเดินเล่นไปในเมืองนี้ด้วยกันค่ะเมืองเซียนาเป็นเมืองยุคกลางที่ถือว่าเป็นคู่แข่งของเมืองฟลอเรนซ์ เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกเมืองของประเทศอิตาลี เมืองที่มีชื่อเสียงทางศิลปะและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะบริเวณใจกลางเมืองเก่าของเมืองเซียนาซึ่งเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ เมืองเซียนายังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี ค.ศ. 1995มาจุดแรกกันเลยค่ะ เปียซซา เดล คัมโป (Piazza del Campo) พื้นที่จัตุรัสหลักที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองเซียนา ทั้งยังได้รับการยอมรับว่าเป็นจัตุรัสยุคกลางที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปมาดูบรรยากาศรอบ ๆ เมืองกันค่ะ น่ารักมากกกกกก เราชอบบบบบบบสุด ๆถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม เคยได้ยินคำนี้กันไหมคะ คำนี้มีที่มาจากในสมัยยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง เมืองเล็กเมืองน้อยต่าง ๆ ต้องเข้ามาติดต่อกิจการงานทั้งหลายที่กรุงโรม ดังนั้นไม่ว่าเมืองเล็กเมืองน้อยจากทุกสารทิศ เลยต้องมีถนนเชื่อมเข้ามาสู่กรุงโรม หรืออีกนัยหนึ่ง “All roads lead to Rome” หมายถึงการทำบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ไปถึงจุดมุ่งหมายเดียวกัน เราว่าโรมเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เมืองหนึ่งเลยนะ มีเอกลักษณ์และก็รักษามันไว้ได้เป็นอย่างดี มีพิพิธภัณฑ์ซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด ตามท้องถนน มุมถนนก็จะมีรูปปั้นสวย ๆ อยู่เต็มไปหมดเลยRome เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ นอกจากนี้โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วยมาที่แรกกันเลยค่ะ โคลอสเซียม (Colosseum) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และยังเป็นต้นแบบอัฒจันทร์ของสนามกีฬาทั้งหลายในยุคปัจจุบัน ทัวร์เรามีเวลาจำกัดนะคะ เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในเลย เราเลือกที่จะเดินเข้าไปในเมือง มีบางท่านที่เลือกเข้าโคลอสเซียมก็จะไม่ได้เดินเข้าไปชมข้างในค่ะ ได้ดูแค่นี้โคลอสเซียม เป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และยังมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตกอีกด้วยนะคะเหมือนที่เราเคยเห็นในหนังเรื่อง Gladiator ส่วนใหญ่คนที่มาสู้รบโชว์ที่โคลอสเซียมจะเป็นทาสและเชลยสงครามโทษประหารชีวิต จักรพรรดิจะนำมาต่อสู้กันเอง เพื่อความสนุกสนาน สู้จนเหลือนักสู้ยอดฝีมือเพียงคนเดียว เพื่อแลกกับอิสรภาพกลับ คือสู้ตายอะค่ะ ไม่สู้ก็ตายอยู่ดี ทางเดียวคือสู้เพื่อเอาชีวิตรอด บางทีเขาก็จะให้สู้กับสัตว์ที่ดุร้ายบ้าง คนสมัยโบราณเขาไม่มีทีวีดูเพื่อความเพลิดเพลินเหมือนเรา ดูแบบนี้เขาคงเร้าใจกันน่าดู !!เดินถัดมาจากโคลอสเซียมไม่ไกลเราจะเจอกับ Roman Forum บริเวณนี้เป็นบริเวณศูนย์กลางของการวิวัฒนาการของวัฒนธรรมโรมันในอดีตในสมัยที่โรมันเรืองอำนาจที่นี่คือศูนย์กลางด้านธุรกิจการค้า ศาสนา และการเมือง คนโรมันชอบนั่งสนทนาปัญหาบ้านเมืองกันที่นี่ คำว่า Forum จึงเป็นรากฐานของคำภาษาอังกฤษที่แปลว่าการประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็นกันนั่นเองค่ะเดินต่ออีกนิดหน่อยเราก็จะพบกับอนุสาวรีย์พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเล ที่ 2 แห่งอิตาลี เป็นพระมหากษัตริย์อิตาลีพระองค์แรก หลังจากสามารถรวบรวมรัฐต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวและสถาปนาราชอาณาจักรอิตาลีได้สำเร็จมีรถม้าให้บริการพาชมรอบเมืองด้วยนะคะ ที่เห็นด้านหลังโบสถ์สวย ๆ นี่คือ Santa Maria di Loreto ที่สร้างมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 16สถานีต่อไปบันไดสเปน หรือ The Spanish Steps ที่มาของชื่อบันไดสเปนคือเมื่อก่อนสถานทูตประเทศสเปนเคยอยู่แถวนี้ค่ะ บันไดสเปนดังขึ้นมามาก ๆ เพราะหนังเรื่อง Roman Holidays หรือโรมันรำลึก ของ Audrey Hepburn นี่เองค่ะ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/โรมรำลึก คือจริง ๆ มันก็แค่บันไดกว้าง ๆ ให้คนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจนะคะ ด้านหน้าบันไดคือแหล่งช้อปปิ้งของแบรนด์เนมทั้งหลายทั้งปวงนั่นเองในปี ค.ศ. 1986 McDonalds สาขาแรกในอิตาลีมาเปิดใกล้ ๆ กับบันไดสเปนนี้ค่ะ แต่มีการประท้วงต่อต้าน Fast Food ที่นี่ ทำให้เกิด Carlo Petrini ซึ่งเป็นนักชิมตัวยงและเป็นนักเคลื่อนไหวด้านอาหาร (Food activist) ก่อตั้ง International Slow Food Movement ใน 3 ปีต่อมา ลองคิดตามว่ามี McDonals ข้าง ๆ บันไดสเปนจริง ๆ ความคลาสสิกมันหายไปเลยจริง ๆ นะ คนอิตาลีเขาอนุรักษ์วิถีของเขาได้เยี่ยมไปเลยนะคะระหว่างรอคณะทัวร์คนอื่น ๆ เราก็เหลือบไปด้านหลังตรงจุดนัดพบ เจอกับพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เราเลยแวบเข้าไปดูเพื่อไม่ให้เสียเวลา โดยที่ไม่รู้เลยว่าคือพิพิธภัณฑ์อะไร ตามมาดูกันค่ะ ระหว่างทางขึ้นจะมีรูปเก่า ๆ แปะอยู่ที่ฝาผนังโดยรอบ พอเข้าไปด้านในเราเจอห้องสมุดแบบโบราณที่เต็มไปด้วยหนังสือ หูย สวยคลาสสิกมาก ๆ เลยค่ะ ทั้งพิพิธภัณฑ์มีเราคนเดียวเลยทางเข้ามีแต่ประตูเก่า ๆ บานเดียว ยาวลึกลงไป ขึ้นบันไดวนไปตรงชั้น 2 จะเจอที่ขายตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ และร้านขายหนังสือ ขายของที่ระลึก เราก็ซื้อตั๋วเข้าไปชมค่ะ 5 ยูโรแล้วเราก็เดินเข้าไปด้านใน พบกับห้องนอนเล็ก ๆ ผนังสีน้ำเงินตุ่น ๆ อยู่ตรงมุมขวา มีเตียงและเฟอร์นิเจอร์วางไว้เหมือนว่ายังมีคนอาศัยอยู่ เราเดินดูห้องรอบ ๆ มีจดหมายเก่า ๆ อยู่รอบไปหมดพอเราจะออกจากห้อง เจอป้ายเขียนว่า “John Keats เสียชีวิตในห้องนี้ เมื่อปี 1821” ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที !!!!!! จะเจออะไรไหมเนี่ย มาคนเดียวจ้า ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้จักอยู่ดีว่า John Keats คือใครพอเดินดูรอบ ๆ เสร็จเราก็เลยแวะกลับไปที่ร้านขายของที่ระลึก มีหนังสือบทกวีที่เป็นผลงานของ John Keats และหนังสืออื่น ๆ โปสการ์ดและของที่ระลึกมากมายวางขาย เราก็เจอกับแผ่นคำกลอน ที่เป็นผลงานของ John Keats สะดุดมากกับคำประโยคนี้ของเขา “Love is my religion, I could die for it. John Keats” สมัยก่อนโน้นเขานับถือพระเจ้ากัน พี่แกเน้นความรักเลยจ้า ประโยคนี้เป็นประโยคในจดหมายที่ John Keats เขียนถึง Fanny Brawne คู่หมั้นของเขา ในปี 1819 หรือ 200 กว่าปีมาแล้ว หูย…โรแมนติกไปอีกจริง ๆ แล้ว John Keats เป็นคนอังกฤษแต่ต้องมาอาศัยอยู่ที่โรมเพราะป่วยเป็นวัณโรค แล้วหมอแนะนำให้มาอาศัยอยู่ในที่อากาศร้อนหน่อยจะดีกว่า แต่ในที่สุดเขาก็ไม่หายและเสียชีวิตอยู่ในห้องนอนในวัยเพียง 23 ปี ที่กลายมาเป็นในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นเองค่ะใครผ่านมาแถวบันไดสเปนอยากชวนให้ลองแวะไปที่พิพิธภัณฑ์นี้สักหน่อยนะคะ ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ อยู่ตึกฝั่งทางขวาของบันไดสเปนมาต่อกันที่ น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) เป็นน้ำพุแบบบารอคที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม มีตำนานว่าเจ้าหน้าที่โรมันพบแหล่งน้ำสะอาดราว 13 กิโลเมตรจากตัวเมือง ในช่วงสงครามที่บ้านเมืองกำลังขาดแคลนน้ำสะอาด โดยความช่วยเหลือของหญิงสาว (ภาพนี้ปรากฏอยู่ด้านหน้าของน้ำพุปัจจุบัน)เขาว่ากันว่าหันหลังแล้วโยนเหรียญลงไปในน้ำตกนี้เพื่อให้ได้กลับมาที่โรมอีกครั้ง แต่เราไม่ได้โยนนะคะ อยากมาก็มา เก็บตังค์มา 555กินไอศกรีมทุกวัน พูดเลย !เราสังเกตว่าไปในทุกเมืองของอิตาลีจะมีตุ๊กตาพินอคคิโอ (Pinocchio) อยู่ตลอด ๆ เลยค่ะ นั่นเป็นเพราะว่าพินอคคิโอเป็นวรรณกรรมเยาวชนของชาวอิตาเลียนขนานแท้ ผลงานของ การ์โล กอลโลดี (Carlo Collodi) นักประพันธ์ชาวอิตาเลียนพินอคคิโอ เป็นเรื่องราวการผจญภัยของหุ่นไม้ที่มีชีวิต กับพ่อผู้ยากจนของเขาซึ่งเป็นช่างไม้ พินอคคิโอมีลักษณะเด่นที่รู้จักกันดีก็คือเมื่อพูดโกหกจมูกของเขาจะยาวขึ้นเรื่อย ๆปิดท้ายทริปนี้กันที่นครรัฐวาติกัน จัดได้ว่าเป็นประเทศเอกราชหรือรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก เวลาช่างน้อยนิดได้แค่สูดดมกลิ่นของเมืองนี้ คิวเข้าไปข้างใน Vatican Museum ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกก เลยได้แค่เดินชมรอบ ๆ ค่ะในสมัยก่อนองค์สันตะปาปามีอำนาจและบารมีมาก จากศรัทธาอันแรงกล้าของผู้คนชาวยุโรปที่มีต่อประมุขทางศาสนาของพวกเขา จนทำให้องค์สันตะปาปาสามารถครอบครองดินแดนตอนกลางของอิตาลีไว้ทั้งหมด รวมเรียกว่าปาปาสเตท และมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ “วาติกัน” กลางกรุงโรมการที่พระสันตะปาปามีอำนาจทางโลกล้นฟ้าและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมากเกินไปนี่เอง ทำให้กลุ่มอำนาจรัฐในยุโรปหลายแห่งจึงเริ่มที่จะต่อต้านพระองค์ เพื่อลิดรอนอำนาจของพระองค์ท่านลงจนกระทั่งมาถึงปี ค.ศ. 1929 ในสมัยนายกอิตาลีที่ชื่อ มุสโสลินี แกเลยเสนอไปยังโป๊ปด้วยข้อเสนอ คือ รัฐบาลอิตาลียอมยกดินแดนให้เป็นประเทศ Vatican และให้เงินไปสร้างประเทศ แต่ประมุขแห่ง Vatican ต้องเป็นกลางทางการเมืองและสงคราม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Vatican จึงกลายเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ มีเมืองหลวงคือกรุงวาติกันป้ายบอกทิศทางลมค่ะเนื่องจากกรุงวาติกันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์ทั่วโลก ทั้งยังเป็นที่ประทับขององค์สันตะปาปาหรือ โป๊ป ผู้นำสูงสุดของศาสนาคริสต์ จึงจำเป็นมากที่จะต้องมีการดูแลอารักขาอย่างดี ทางวาติกันจึงว่าจ้างทหารจากสวิตเซอร์แลนด์หรือสวิสการ์ดมาทำหน้าที่นี้ ทำไมต้องเป็นชาวสวิส นั่นเป็นเพราะชาวสวิสมีชื่อเสียงเรื่องความเก่งกาจ และโดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้ว่าจ้าง และสามารถเก็บความลับทุกอย่างไว้ได้อย่างดี ทางวาติกันจึงว่าจ้างทหารสวิตเซอร์แลนด์มาประจำการอยู่ในนครรัฐวาติกัน เพื่อทำหน้าที่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลามากกว่า 500 ปีแล้ว คุณสมบัติของสวิสการ์ดคือต้องเป็นชาวสวิสโดยกำเนิด นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และต้องมีอายุไม่เกิน 30 ปี สูง 175 เซนติเมตรขึ้นไปกลับละจ้าขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Jung explore สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

[NEW] 1 ปีชีวิตเด็กแลกเปลี่ยน เที่ยว “อิตาลี” ครบแทบทุกเมือง ! | เมืองในอิตาลี – Australia.xemloibaihat

                สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com … มาเจอกับ พี่เป้ และคอลัมน์เล่าประสบการณ์เด็กนอกที่ทุกคนรอคอยกันเช่นเคย อิอิ สำหรับเรื่องราววันนี้ ขอบอกเลยว่า ประดุจน้ำเพชรประโลมใจของ พี่เป้ (เว่อร์ 555+) เพราะเป็นเรื่องราวชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนจาก “ประเทศอิตาลี” … ประเทศที่มีน้องๆ เรียกร้องมาเยอะมากกกกว่าอยากอ่านมากกกก แต่พยายามหาแล้วหาอีก ก็ไม่รู้จะไปหามาจากไหน แต่สุดท้าย !!! เราก็หาเจอจนได้ค่ะ !! เรื่องราวจะเป็นยังไงนั้น ลองไปอ่านดีกว่า บอกก่อนเลยว่าน่าอิจฉามากๆๆ

      

สวัสดีเพื่อนๆ เราชื่อ

“ป๊อกกี้”

ปภิณวิช มงคลเกษตร

นัก

เรียนแลกเปลี่ยนโครงการAFS รุ่นที่ 48 ประเทศอิตาลี

ตอนนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย จ.นครราชสีมา แผนการเรียนวิทย์-คณิต ชั้นม.6 และอยู่กลุ่ม Celebrity ดาวแห่งราชสีมาวิทยาลัย ●▽●  เป้าหมายตอนนี้คืออยากเข้าอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ADMISSION’ 54 เน่อ

          

 

      เราอยากเล่าประสบการณ์ชีวิตของเด็กแลกเปลี่ยนคนนึงที่ไปประเทศอิตาลี ประเทศที่ใครๆ ก็อยากไป เมืองแฟชั่น โอ้โห…. แต่เค้าพูดภาษาอะไรกันล่ะ??? มีหลายเรื่องที่น่าสนใจตลอดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งอาจทำให้หลายๆ คนอยากไปอิตาลีมากกว่าเดิมหรือไม่อยากไปก็ได้ (เอ๊ะ!!! ยังไง)

      จริงๆ แล้ว ป๊อกก็มีความคิดที่จะไปแลกเปลี่ยนตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะเดิมที่เราชอบภาษาอังกฤษมากๆ แต่ไม่เก่ง T^T เที่ยวหาเรียนพิเศษไปเรื่อย ตั้งแต่ตอนเรียนประถมก็ไปหาเข้าค่ายภาษาอังกฤษของโรงเรียนหรือโปรแกรมต่างๆ บ้าง จนกระทั่งโตมาจนถึง ม.3  ก็เลยลองสมัครหลายโครงการดู แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจไป จนมาสอบอีกทีตอน ม.4  จริงๆ แล้วป๊อกเริ่มสอบ AFS ตั้งแต่รุ่นที่ 47 แล้ว แต่ไม่ผ่านการคัดเลือก แป่ว เราเลยมาลองใหม่อีกทีในรุ่น 48 พอดีสอบเป็นทุน CSP ซึ่งเป็นทุนที่ได้จากบริษัทต่างๆ ที่สนับสนุนโครงการ เราก็เลือกสอบของทุนธนาคารกสิกรไทยไป เลือกอเมริกาเป็นอันดับแรก แล้วเลือกอิตาลีอันดับที่ 2 และเยอรมัน อันดับที่ 3 และผลการสอบก็ออกมาว่า เราติดตัวจริงประเทศอิตาลี เถียงกับทางบ้านนานอยู่เหมือนกันว่าจะไปดีมั้ย ไอ้เราก็อยากไปอ่ะนะ พ่อก็เลยยอมให้ไป เพราะตอนนั้นอ่ะตัวป๊อกคิดว่าไปประเทศภาษาที่ 3 อ่ะ มันเวิร์กเว่อร์ๆ

             
               เริ่มเข้าสู่ประเทศอิตาลีเลยดีกว่า ป๊อกได้ไปอยู่ที่เมือง Naples(เนเปิลส์) ในแคว้น Campania อยู่ทางใต้ของประเทศ ประมาณตรงหน้าแข้งของรองเท้าบูทอ่ะ ภูมิประเทศจะเป็นแบบเนินเขา และเป็นเขตของภูเขาไฟหลายลูก เป็นเมืองท่าที่สวยมากๆ ให้นึกถึงอ่าวมะนาวบ้านเราอ่ะ จะคล้ายๆ แบบนั้นเลย แถวที่อยู่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย เช่น เมืองปอมเปอี ที่มีภูเขาไฟระเบิดแล้วพวกลาวาไหลมาทับเมืองทั้งเมือง

                มาถึงอิตาลีวันแรกนะ โอ้โหพระเจ้า…. อาหารไหนใครว่าอร่อย??? กินไม่ได้เล้ยยย ที่ป๊อกได้กินมื้อแรกไม่ใช่พิซซ่าหรือสปาเกตตี้หรอกนะ แต่เป็นข้าวเย็นๆ เหมือนแช่แข็งมา น้ำเปล่าก็ไม่มี แต่เป็นน้ำอัดแก๊ซ ให้ตายเหอะ ตอนนั้นกินได้อยู่อย่างเดียวคือเนื้อทอด ชีวิตรันทดอะไรได้ถึงขนาดนี้ มาทำไมวะเนี่ย????? อ้อ ตอนมาถึงวันแรกๆ เค้ามีเข้าค่ายปรับตัวด้วย เราก็เลยได้อยู่กับเพื่อนๆ ทั้งคนไทยและต่างชาติ

               ส่วน Host Family บ้านที่ป๊อกไปอยู่มี dad , mom แล้วก็มีลูกชาย 2 คน อายุ 17 กับ 15 ปี คนโตไม่ได้เจอเค้าหรอกนะ เพราะเค้าไปแลกเปลี่ยนเหมือนกันแต่ไปที่แคนาดา โฮสต์เค้าเป็นครอบครัวค่อนข้างจะอารมณ์ดี แต่ก็มีอายุกันแล้ว อาจจะมีเรื่องอารมณ์บ้างอะไรบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาของคนแก่!! โฮสต์ dad เป็นหมอ ส่วน mom เป็นครูสอนโภชนาการอาหาร เก่งทั้งคู่ รู้ทุกอย่างจริงๆ 555+ ส่วนตัวลูกชายนี่มีเรื่องให้เล่ายาวมากๆ แต่ขอสรุปทีเดียวเลยละกัน เค้าจะเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ตามประสาลูกคนเล็ก ไม่ชอบให้ใครเด่นกว่า (แต่เผอิญเราเด่นกว่า 555+) ดื้อ งอแง ไม่ชอบไปโรงเรียน ทั้งๆ ที่โรงเรียนที่นั่นเรียนน้อยมาก และเป็นคนที่ไม่ชอบคุยกับใคร ป๊อกก็พยายามคุยด้วยหลายทีมากมาย แต่ก็จะได้คำตอบกลับมาเพียงแค่คำสั้นๆ หรือประโยคสั้น อยู่ไปก็เลยเริ่มปลงล่ะ

               มาดูเรื่องของโรงเรียนกันบ้างดีกว่า โรงเรียนที่ป๊อกไปอยู่เป็นวิทยาลัยเทคนิคการโรงแรมและห้องอาหารชื่อ I.P.S.A.R. Petronio ก่อนอื่นขอเล่าลักษณะของเรียนในอิตาลีก่อนดีกว่า โรงเรียนในอิตาลีหรือวิทยาลัยต่างๆ เนี่ย จะมีทั้งหมดประมาณ 6 แบบคือ

1.โรงเรียนวิทยาศาสตร์ (สายวิทย์-คณิต)
2.โรงเรียนภาษา (สายศิลป์ภาษา โดยจะเรียนภาษาละตินด้วย)
3.โรงเรียนคลาสสิค (เรียนเกี่ยวกับความคิด สติปัญญา และประวัติศาสตร์)
4.วิทยาลัยเทคนิค (ราชมงคลบ้านเรานี่แหละ)
5.วิทยาลัยเทคนิคการโรงแรมและห้องอาหาร (ถ้านึกไม่ออก ให้นึกโรงเรียน I-TIM ของมหิดล)
6.วิทยาลัยพานิชย์นาวี

               โดยโรงเรียนหรือวิทยาลัยที่นี่จะเรียนทั้งหมด 5 ปี (ซึ่งของไทยเราเรียน 6 ปี) วิทยาลัยที่ป๊อกเรียนจะมีแบ่งเป็นสายๆ โดยแบ่งเป็น Cooking, Bartender and Waiter และ Reservations ป๊อกได้เรียนในสายของ Reservation ในคลาสป๊อกมีเรียนทั้งหมด 11 วิชา 14.5 หน่วยกิต มีวิชา

1.ศาสนาคริสต์นิกาย โรมันคาธอลิก
2.ภาษาอิตาเลียน
3.ประวัติศาสตร์อิตาเลียน
4.ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว
5.ภาษาฝรั่งเศสเพื่อการท่องเที่ยว
6.คณิตศาสตร์
7.ภูมิศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวในยุโรป
8.เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจและเทคนิคการบริการนักท่องเที่ยว
9.ประวัติศาสตร์ ศิลปวิทยาและวัฒนธรรม
10.เทคนิคการติดต่อสื่อสารและการปรับตัว
11.สุขศึกษาและพลศึกษา

               ช่วงแรกๆ ที่ไปเรียนก็นั่งเอ๋อไปวันๆ เพราะเราก็ไม่รู้ภาษาเค้า ป๊อกค่อนข้างที่จะโชคร้ายนิดนึง เพราะว่าทั้งห้องเป็นผู้หญิงหมดเลย ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็จะถูกนินทา เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่ก็เชิงรำคาญเล็กน้อย ในห้องมีเพื่อนที่สนิทด้วยอยู่แค่ 3-4 คนเอง เพราะเราปรับนิสัยเข้าหากันได้ ส่วนที่เหลือคือเค้าจะมองป๊อกเป็นตัวประหลาด คนเอเชีย เหยียดหยาม!!

  

                มาพูดถึงเรื่องเที่ยวกัน ป๊อกว่าป๊อกเป็นคนที่โชคดีมากเลยคนนึง คือป๊อกได้มีโอกาสไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆ ทั่วอิตาลีเลย แต่ขอเริ่มสถานที่ท่องเที่ยวในเนเปิลส์ก่อนละกัน

                ว่าด้วยเรื่องของประวัติศาสตร์อิตาเลียน “เนเปิลส์” ถือว่าเป็นเมืองหลวงของอิตาลีใต้ (ประมาณ 200-300 ปีก่อน มีการแบ่งแยกอิตาลีออกเป็น 2 ส่วน คืออิตาลีเหนือ เมืองหลวงอยู่ที่ตูริน และอิตาลีใต้ เมืองหลวงอยู่ที่เนเปิลส์) จึงทำให้เนเปิลส์มีปราสาทซึ่งเป็นที่ประทับของกษัตริย์หลายพระองค์ของอิตาลี เช่น Palazzo Reale ซึ่งมีการสร้างคล้ายกับพระราชวังแวร์ซายของฝรั่งเศส , Castel dell’Ovo เป็นปราสาทเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล และ Castel Sant’Elmo เป็นปราสาทที่ตั้งบนยอดเขา เปรียบเสมือนป้อมปราการ คอยสอดส่อง ดูแลความเรียบร้อยของเมือง และยังสามารถดูภาพพาโนรามาของเมืองเนเปิลส์ได้จากตรงนี้อีกอีกด้วย

                สถานที่ท่องเที่ยวในเนเปิลส์ที่เด่นๆ ก็คือ “ปอมเปอี” ที่บอกไปแล้ว ปอมเปอีเป็นเมืองเก่าแก่ที่ถูกลาวาไหลทับเมืองทั้งเมือง จากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา ในตัวเมืองมีวิหารต่างๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดคนทั่วโลกได้ดีเลยทีเดียว ค่าเข้าชมคนละ 11 ยูโร (หรือประมาณ 440 บาท) สำหรับชาวต่างชาตินะ แต่ไปดูแล้วอาจจะปลงๆ กันนิดหน่อยนะ เพราะบางคนที่ถูกลาวาไหลถล่มมาทับตายนี่คือ ตายในท่านั่งบ้าง นอนกอดลูกบ้าง เห็นแล้วสลด

                 ยังไม่หมดนะ เพราะในช่วงเดือนมีนาคม ทางโครงการจะมีโปรเจ็กต์สำหรับให้นักเรียนแลกเปลี่ยนได้ไปเที่ยวในต่างเมือง เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์ และต้องไปอยู่กับครอบครัวใหม่ ซึ่งป๊อกได้เลือกไปที่ “เมืองคาตาเนีย เกาะชิซีเลีย” ทางใต้ของประเทศอิตาลี่ และครอบครัวที่ป๊อกไปอยู่ด้วย เป็นครอบที่น่ารักมาก มีลูกชาย 4 คน เป็นครอบครัวนักดนตรี ทั้งบ้านเล่นดนตรีได้ มีห้องซ้อมดนตรีเป็นของครอบครัวเอง ส่วนคาตาเนียเป็นเมืองที่สวยงามมาก มีการจัดและวางผังเมืองได้สวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวได้แก่ ภูเขาไฟ Etna เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีและตอนนี้ก็ยังมีการปะทุอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองและประเทศรอบข้าง

                นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ ป๊อกยังได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ของอิตาลี ที่แรกที่ไปคือ “ฟลอเรนซ์” เมืองที่ทุกคนทั่วโลกกล่าวว่า เป็นเมืองที่สวยที่สุดในอิตาลี และก็จริงๆ แหละ เป็นเมืองที่สวยงามมาก ในตัวเมืองแทบไม่มีรถยนต์ให้เห็นเลย เพราะเค้าขี่จักรยานกัน สถานที่ที่สำคัญคือ สะพาน Ponte Vecchio 

                ไปต่อกันที่ “ปิซ่า” สถานที่ที่มีหอระฆังตั้งอยู่บนพื้นเอียง ทำให้ตัวเสานั้นเอนไปด้วย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งในอิตาลี่ และยังเป็นสถานที่ที่กาลิเลโอมาพิสูจน์ความจริงว่า วัตถุ 2 ชิ้น ที่มีขนาดเท่ากัน แต่น้ำหนักไม่เท่ากัน แต่กลับตกถึงพื้นโลกพร้อมกัน

                 หลังจากก็เข้าสู่เมืองแฟชั่น “มิลาน” … มิลานเป็นเมืองที่สวยเมืองหนึ่ง แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในมิลาน ก็จะมีแค่ Duomo เป็นวิหารที่สวยที่สุดในอิตาลี และ Galleria Vittorio Emanuele II ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งแบรนด์เนมชื่อดัง นอกจากนี้ ในมิลานจะมีถนนไว้ให้สำหรับขาช็อปได้เดินช็อปปิ้งประมาณ 4-5 สายติดกัน

                 และที่สุดท้ายที่ได้ไปในช่วงอีสเตอร์ก็คือ เมืองแห่งเทพนิยาย “เวนิซ” เวนิซเป็นเกาะนะ ไม่ใช่เป็นเมือง เป็นเกาะกลางน้ำที่สำคัญที่สุดในอิตาลี มีคลองเล็กๆ ไว้ให้สำหรับเรือกอนโดลาที่โด่งดังและแพงสุดๆ ได้พานักท่องเที่ยวเที่ยวชมความของเกาะ ถ้าจำไม่ผิด ครึ่งชั่วโมง 40 ยูโร หรือประมาณ 1,600 บาท และสิ่งที่ทุกคนอาจไม่รู้มาก่อนคือ นอกจากเกาะเวนิซแล้ว ยังมีอีกหลายๆ เกาะที่สำคัญที่อยู่ในเขตการปกครองของเวนิซ คือเกาะมูราโน และเกาะบูราโน ทั้ง 2 เกาะนี้เป็นเกาะที่เงียบสงบ ผิดกับเกาะเวนิซที่มีนักท่องเที่ยวมากมาย 2 เกาะนี้เป็นเกาะที่ผลิตแก้วต่างๆ รวมทั้งเครื่องประดับ ของตกแต่งที่ทำจากแก้ว จึงมีหลายโรงงานที่อยู่บนเกาะ 2 เกาะนี้

                และที่สุดท้ายที่ได้ไปเที่ยว แต่ไม่ได้ไปในช่วงอีสเตอร์นะ ก็คือ “โรม” เมืองหลวงของอิตาลีนั่นเอง โรมมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย แต่จะยกตัวอย่างแค่ 2-3 ที่ก็พอ …. ที่แรกเลยคือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ หรือที่เรียกกันว่า “นครรัฐวาติกัน” วาติกันเป็นรัฐที่เล็กที่สุดในโลก และเป็นรัฐเดียวที่อยู่ในอิตาลี บาทหลวงหรือผู้ที่ทำงานในวาติกัน จะไม่ถือว่าตัวเองเป็นชาวอิตาเลียน เพราะวาติกันเป็นรัฐอิสระนั่นเอง และมีพระสันตะปาปาเป็นประมุข
หลายๆ คนอาจจะได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Angel and Demon ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการคัดเลือกพระสันตะปาปา และความขัดแย้งภายในนครรัฐ ในภาพยนตร์ได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของรัฐนี้ ป๊อกก็คิดว่ามันยิ่งใหญ่จริงๆ สวยงามมากๆ ในตัววิหารมีรูปปั้นปิเอตา เป็นรูปปั้นพระแม่มารีประคองพระเยซูอยู่บนตักของตัวเองก่อนที่พระเยซูจะสิ้นใจ ชั้นใต้ดินมีสุสานของพระสันตะปาปาตั้งแต่พระองค์แรกจนถึงองค์ก่อนปัจจุบัน ส่วนด้านบนของวิหารเป็นสถานที่ที่สามารถมองเห็นได้ทุกจุดของกรุงโรม

                 สถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่สองคือ Fontana di Trevi หรือน้ำพุเทรวี ว่ากันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่หนึ่ง ที่นักเสี่ยงโชคมักจะมาขอพรจากน้ำพุนี้ด้วยการอธิษฐานแล้วโยนเหรียญลงไปในบ่อ ว่ากันว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จในเรื่องที่ขอ แต่ป๊อกไม่ได้ขอนะ

                  และที่สุดท้ายที่จะพูดถึงคือ “โคลอสเซียม” อย่างที่ทุกคนรู้กันคือเป็นสนามกีฬาเก่าแก่ของอิตาลี่ ใหญ่มากๆ ใหญ่จริงๆ โดยในประวัติศาสตร์แล้ว โคลอสเซียมได้สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถจุคนได้ถึง 8 หมื่นคน ชั้นใต้ดินจะแบ่งออกเป็นห้องๆ ไว้กักขังนักโทษประหาร และสัตว์ร้ายต่างๆ เช่น สิงโต เป็นต้น ในบ้างครั้ง โคลอสเซียมถูกจัดให้เป็นลานประหารของนักโทษ แต่ในบางครั้งก็เเป็นสนามประลองความสามารถของเหล่าผู้กล้าในอาณาจักรอิตาลี

                 และ 1 เดือนก่อนที่จะกลับ AFS ก็ได้จัดค่ายอีก 1 ค่าย เพื่อเป็นการอำลา รวมถึงการทำกิจกรรมร่วมกัน การเขียนบรรยายความรู้สึกที่มีกับอิตาลี ครอบครัวอุปถัมป์ รวมถึงกับ AFS ด้วย เป็นค่าย 4 วัน 3 คืน และเป็นค่ายที่สนุกและเศร้าที่สุด เพราะนึกถึงความรู้สึกที่จะต้องกลับประเทศของแต่ละคน ฮือๆ มีการแสดงต่างๆ ซึ่งให้แต่ละชาติออกมาแสดง แต่รอบนี้ประเทศไทยไม่โชว์เดี่ยวแล้ว เบื่อ!! เลยโชว์รวมกับประเทศในแถบเอเชีย สร้างความฮือฮาให้ทุกคนอย่างเว่อร์มาก

                 หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า ไปอยู่อิตาลี พูดอิตาเลี่ยนได้หรอ แล้วจะปรับตัวยังไง คือเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเลย เพราะทาง AFS ได้จัดคอร์สเรียนภาษาอิตาเลียนไว้ให้แล้ว เริ่มเรียนตั้งแต่ 2 อาทิตย์แรกที่ไปถึงจนถึงอาทิตย์ก่อนเทศกาลปีใหม่เลยทีเดียว และอีกอย่างหนึ่งสำหรับการเรียนภาษา คือเราได้ยินภาษาทุกวัน เจอคนพูดด้วยทุกวัน บวกกับการที่เรียนภาษาไปด้วยเนี่ย แน่นอนว่า มันจะเป็นการซึมซับภาษาไปในตัว เหมือนตอนเราเป็นเด็กที่ได้ยินผู้ใหญ่พูดคุย แล้วเราก็จำมาพูด นั่นแหละ ใช้เทคนิคเดียวกัน 5555+ แต่อย่าลืมว่า ความขยันเป็นสิ่งที่ทำให้เราไปสู่ความสำเร็จนะเพื่อนๆ

                 ได้อ่านประสบการณ์เด็กนอกจากอิตาลีแบบนี้แล้ว เชื่อว่าปีหน้า ยอดคนที่เลือกไปอิตาลีคงเยอะขึ้นเป็นเท่าตัวแน่ๆ 5555+ อื้อหือออ อ่านจบนี่ต้องไปเอาน้ำมาล้างตา เพราะอิจฉาตาร้อนมากๆๆ ค่ะ สุดยอดจริงๆ โดยเฉพาะได้เที่ยวเมืองใหญ่ๆ ของอิตาลีครบทุกเมืองแบบนี้ น่าอิจฉาที่สุดเลย !! ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ บ้างก็ส่งมาให้ พี่เป้ ได้ที่ [email protected] เลยนะคะ แล้วเจอกันแน่นอน

เด็กดีดอทคอม :: 3 ประเทศที่มีสงกรานต์เหมือนเมืองไทย; tags: holi, tomatina, สี, อินเดีย, โปแลนด์, สเปน, เทศกาล, ประเพณี, สงกรานต์

 

 

 ภายใต้รอยยิ้มที่สดใส…
จะมีสักกี่คนที่รู้ความจริงว่า

เธอกำลังถูกโฮสต์โรคจิตตามตัว !!

เรื่องราวชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนจากอเมริกา
ที่เปลี่ยนโฮสต์ไปมา จนมาเจอโฮสต์จิตไม่ปกติ!

Available on Dek-D.com , Study Abroad
Thursday 28 Oct 2010

 

เด็กดีดอทคอม :: Ghent สถาบัน TOP5 จากเบลเยี่ยม; tags: เบลเยี่ยม, เรียนนอก, ยุโรป, ghent, gent
 


เที่ยวมั้ยครับ EP.15 ครั้งแรกที่อิตาลี ชมมหาวิหาร DUOMO โคตรสุด!! ( Part 1 )


สั่งซื้อแว่นตา Bie The Ska Limited Edition ที่ลิ้งนี้เลย
https://flashfomo.jumper.ai/bie/m
กลับมาแล้วกับรายการเที่ยวมั้ยครับ EP.15 ครั้งแรกที่อิตาลี ชมมหาวิหาร Duomo ที่โคตรสุด และเป็นครั้งแรกที่ผมและจีโน่ได้ไปอิตาลีจะเกิดอุปสรรคอะไรไหมและจะสนุกแค่ไหนไปชมกันครับ
เที่ยวมั้ยครับอิตาลี
กดติดตามคลิปใหม่ของพวกเรา มาใหม่ทุกวันอังคาร ศุกร์ อาทิตย์ ครับ
http://goo.gl/GQoaaP
เป็นเพื่อนกันและติดตามข่าวสารช่องทางของผม
Facebook ► https://www.facebook.com/BieTheSka
IG ► BieTheSka
Twitter ► BieTheSka
Line Sticker ► https://line.me/S/sticker/6175
ซื้อสินค้าของพวกเราสวยๆน่าสะสม The Ska Shop
Facebook ► https://www.facebook.com/theskashop
Line ID ► @TheSkaShop
หรืออยากเกาะติดแบบ Exclusive กับครอบครัวเดอะสกาฟิล์มติดตามได้ที่
Facebook ► https://www.facebook.com/theskafilm
IG ► TheSkaFilm
Website ► http://www.theskafilm.com
จุดเริ่มต้นของความสนุกและเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ นั้น มาจากการที่ บี้ เดอะสกา (กฤษณ์ บุญญะรัง) ที่มีความชื่นชอบ และรักการทำคลิปวีดีโอเพื่อสร้างรอยยิ้มให้แก่คนรอบข้างโดยเริ่มจากเพื่อนๆในสมัยเรียนของเขา จนพัฒนาการทำวีดีโอคลิปด้วยตัวเองมาเป็นลำดับ จนกระทั่งปลายปี 2556 ได้ก่อตั้งบริษัท เดอะสกาฟิล์ม จำกัด และได้ผลิตสร้างสรรค์คอนเทนท์สนุกสนาน และเจอไปด้วยสาระ ออกมาอย่างมากมาย ในหลากหลายแพลทฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นรายการคู่มือมนุษย์ เจอประจำ เที่ยวมั้ยครับ และรายการอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน Channel Bie The Ska มีผู้ติดตาม (Subscribe) กว่า 8.6 ล้านคน เรียกได้ว่าเป็น “คอนเทนท์ครีเอเตอร์” ที่มียอดผู้ติดตามมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย ณ เวลานี้ และยังรวมไปถึงช่องต่างๆภายใต้สังกัด The Ska Film อาทิ The Snack, Epic Toys, Pleunpung, Fatzlip, Here Zone Teen, Yumaining และ The Ska Room ช่องน้องใหม่ในเครือ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ หนังสั้น ซีรีย์ หรือ MV
ดังนั้น เดอะสกาฟิล์ม จึงเป็นบริษัทที่สามารถรองรับงานได้อย่างหลากหลาย และครบวงจรมากขึ้นในฐานะ Digital Media House ที่ทำงานได้ครบวงจรแบบ One Stop Services ตามเจตนารมณ์ และจุดมุ่งหมายที่สำคัญ ของบี้ เดอะสกา อยากเห็นคนทั้งโลกได้มีรอยยิ้ม และมีความสุข ดังสโลแกนที่ว่า “รู้มั้ยเวลาเพื่อนๆยิ้ม ผมอ่ะโคตรมีความสุขเลย^^

ติดต่องานสปอนเซอร์ ผลิตวีดีโอโฆษณา อีเว้นท์
[email protected]
0909194567 (คุณทับทิม)
TheSkaFilm BieTheSka บี้เดอะสกา

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

เที่ยวมั้ยครับ EP.15 ครั้งแรกที่อิตาลี ชมมหาวิหาร DUOMO โคตรสุด!! ( Part 1 )

เที่ยวอิตาลี · 10 ที่ห้ามพลาดเมืองมิลาน [Eng Sub] 10 things to do in Milan


มิลานเป็นเมืองต้น ๆ ของยุโรปซึ่งผมเดาว่าอยู่ใน bucket list ของหลาย ๆ คน เดนนิสกับผมมามิลานหลายครั้งแล้ว มาทีไรก็ชอบมากขึ้นมากขึ้น
มิลานเป็นเมืองมหานคร ระดับโลก อาจจะไม่เว่อเหมือน นิวยอร์ค ลอนดอน แต่ก้อใกล้ๆ ตามมาติดๆ เป็นเมืองเก่าที่รวมกับความเป็นโมเดิร์น ได้อย่างสมดุลเลย
1. Duomo di Milano · https://goo.gl/maps/EdZrHk4gkApexF2HA
2. Galleria Vittorio Emanuele · https://goo.gl/maps/zhpFYj4h4Dc8YHnJ6
3. Leonardo da VinciStatue · https://goo.gl/maps/uhKCZjuCjYi68aDMA
4. Via Monte Napoleone · https://goo.gl/maps/J69wvc9Wz1aS1wQb7
5. Brera District · https://goo.gl/maps/c2u24uLPikLDmM2v8
6. Navigli · https://goo.gl/maps/2jkGvCbZiQA7oekEA
7. Piazza Gae Aulenti · https://goo.gl/maps/yqJT4wTWFvCY5uzH9
8. Castello Sforzesco · https://goo.gl/maps/PVCcS4K9v8fDRLHy6
9. Chiesa di San Bernardino alle Ossa · https://goo.gl/maps/ksfKMpTWr2VX4yfE6
10. Santa Maria delle Grazie · https://goo.gl/maps/FhAcsSYps1eiDRD38

เที่ยวอิตาลี · 10 ที่ห้ามพลาดเมืองมิลาน [Eng Sub] 10 things to do in Milan

Ep.21เที่ยวยุโรป( Italy city walk) เดินชมเมืองในอิตาลี


เที่ยวยุโรปเดินชมเมืองอิตาลี

Ep.21เที่ยวยุโรป( Italy city walk) เดินชมเมืองในอิตาลี

10 เรื่อง ควรรู้ก่อนไป เที่ยว อิตาลี


ครั้งหนึ่งในชีวิต ในการเที่ยวอิตาลี ด้วยตัวเอง กับ 10 เรื่อง ที่ควรรู้ก่อนจะไป
เที่ยว Italy ด้วยตัวเอง

10 เรื่อง ควรรู้ก่อนไป เที่ยว อิตาลี

ตะลุยอิตาลีแดนเหนือ ชมความงามในแถบ ‘Dolomites’ เทือกเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์แห่งยุโรป


Italy หนึ่งในประเทศที่มีสกีรีสอร์ทที่โด่งดังที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป จนกลายเป็นสถานที่เที่ยวในฝันของใครหลายคน เพราะถ้ามีสกีรีสอร์ทที่โด่งดังก็หมายความว่าต้องมีวิวธรรมชาติที่สวยงาม! อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าที่แห่งนี้จะสวยงามแค่ไหน ตามมาเที่ยวไปพร้อมกันเลย!

วันนี้เราอยู่กันแถวเทือกเขา Dolomites ของจังหวัด Belluno ทางตอนเหนือของอิตาลี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขา พายเรือในทะเลสาบที่ใสสะอาดท่ามกลางทิวเขา รวมถึงใครอยากลองรับประทานอาหารอิตาเลียนแปลกใหม่ ก็มีให้เลือกตามใจชอบเลย เรียกได้ว่าไม่น่าเบื่อแน่นอน
เริ่มต้นการเดินทางด้วยเคเบิลคาร์ Seiser Alm เพื่อไปชมความงามของ Alpe di Siusi
หลังจากที่ได้ซึมซับกับธรรมชาติของทุ่งหญ้าสีเขียวและหุบเขาสีขาว ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวแล้ว ก็สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นการเดินเขาหรือการปั่นจักรยาน และหากใครไม่ต้องการออกแรงมากนักก็สามารถนั่งรถม้า ชมบรรยากาศโดยรอบได้อย่างเต็มที่ 
นอกจากกิจกรรมที่น่าสนใจที่กล่าวมาแล้ว การพายเรือที่ ทะเลสาบ lago di Braies ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ซึ่งบริเวณทะเลสาบจะมีจุดบริการให้เช่าเรือ ทั้งเรือเล็กเรือใหญ่ หลายขนาด แล้วแต่จำนวนของสมาชิกที่มาด้วยกัน 
หลังจากอิ่มตาอิ่มใจกับธรรมชาติสวย ๆ แล้ว ก็ถึงเวลาอิ่มท้องกันบ้าง โดยในมื้อเรามาแวะทานอาหารกันที่ Hotel de la Poste ที่เมือง Cortina d’Ampezzo ห้องอาหารอิตาเลียนแท้ ๆ ที่เต็มไปด้วยคุณภาพ ทุกจานปรุงขึ้นจากวัตถุดิบสดใหม่และความพิถีพิถัน
โดยอาหารในมื้อนี้ ได้แก่…
1. Burrata Cheese with Tomato and Basil
2. Purple Potato Gnocchi with Sicilian Shrimps
3. Ricotta Cheese and Spinach with Butter and Poppy Seeds
4. Milanese Milk Veal Ribs and Fried Potatoes
5. Medallions of Deer with Blueberry Sauce and Purple Hood Salad
6. Local Ravioli with Root Beet
ถือเป็นการปิดทริปอย่างสมบูรณ์ หวังว่า วิวธรรมชาติสวย ๆ ของเทือกเขา Dolomite และอาหารอร่อย ๆ จะทำให้ตอนเหนือของประเทศอิตาลี เป็นอีกหนึ่งทริปในฝันที่หลายคนอยากเดินทางมาเยี่ยมเยือน ยืนยันได้เลยว่าที่นี่สวยไม่แพ้ที่ใดแน่นอน

ติดตามลีลามี (6 มกราคม 2562) รายการท่องเที่ยวสุดพรีเมียมเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2lBezc2
หรือทาง Facebook https://www.facebook.com/becteroTV/

ตะลุยอิตาลีแดนเหนือ ชมความงามในแถบ 'Dolomites' เทือกเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์แห่งยุโรป

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่Wiki

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ เมืองในอิตาลี

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *